“แฉเพื่อชาติ”สะท้าน“เพื่อไทย” เดิมพัน“เศรษฐา-ชูวิทย์”
ทั้งหมดคือ ฉากสู้-ฉากรบ ของอดีตเพื่อน “ชูวิทย์” VS “เศรษฐา”โดยมีเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเป็นเดิมพัน ขณะเดียวกัน"เพื่อไทย"ก็ไม่พ้นแรงกระแทกจากสังคม ส่วนข้อมูล ข้อเท็จจริง จะเป็นอย่างไร ต้องรอติดตามกันต่อไป
“ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” อดีตนักการเมือง เปิดปฏิบัติการ “แฉเพื่อชาติ” หวังล้มกระดาน บีบพรรคเพื่อไทยทบทวนชื่อ "เศรษฐา ทวีสิน" แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่จะเสนอต่อรัฐสภา จากปมเลี่ยงภาษีที่ดินย่านสารสิน จนมาถึงปมใช้นอมินีซื้อขายที่ดินใจย่านทองหล่อ
แม้จะโดน “ขุนพลเพื่อไทย” ออกมาโจมตีกลับ บลัฟข้อมูลการซื้อขายที่ดิน แต่กระแสสังคมยังเอนเอียงไปทาง “ชูวิทย์” แม้บริษัทแสนสิริ จำกัด มหาชน จะออกมาชี้แจงโดยตอบโต้ทุกข้อกล่าวหา และแม้ “เศรษฐา” จะมอบหมายให้ทีมทนายฟ้องร้องดำเนินคดีเพื่อสกัด แต่ “ชูวิทย์” ไม่หยุดแฉ
ปฏิบัติการแฉเพื่อชาติ อีพี 2 ปั่น (ราคาที่ดิน) บวม (เงินบวมจนเหลือเงินทอน) ตัดตอน (โดยใช้นอมินี) สามารถสรุปเงื่อนปมได้ดังนี้
“ชูวิทย์” เริ่มต้นด้วยการแฉที่ดินของคอนโดมีเนียม Khun By Yoo ใจกลางทองหล่อ มีทั้งหมด 10 โฉนด แบ่ง 9 โฉนดไปสร้างคอนโดมีเนียม อีก 1 โฉนด เป็นที่ดินเปล่า โดย บ.แสนสิริ จัดหามาพร้อมกัน ซึ่งที่ดินนี้ก่อนสร้างคอนโดมีเนียม ถือโดยบริษัทจริง (N) เจ้าของคือ “หมอ น.” ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท มีผู้ถือหุ้น 4 คน
โดยในวันที่ 11 ก.พ. 2558 มีบริษัทมาเทคโอเวอร์บริษัทจริง (N) แห่งนี้ (ซื้อบริษัทไปเลย) เปลี่ยนผู้ถือหุ้นจาก “หมอ น.” เป็น “แม่บ้าน” 99.99% และ “รปภ.” โดยที่ดินผืนนี้ ติดจำนองอยู่ 465 ล้านบาท รวมค่าหุ้น 100 ล้านบาท ต้นทุน = 565 ล้านบาท
ซึ่งบริษัทดังกล่าวยังใช้ชื่อเดิมคือ N แต่ตั้งนอมินีขึ้นมา เพราะเป็น “แม่บ้าน” จึงไม่พบการเสียภาษีเลย ส่วน “รปภ.” มีเงินได้ปี 2564, 2565 ปีละกว่า 3 แสนบาท ชำระภาษีเงินได้ 500 กว่าบาท แต่มาซื้อบริษัทมูลค่าเป็นร้อยล้าน
อย่างไรก็ตามในวันเดียวกัน “บริษัท N” ที่เป็นนอมินี ไปกู้เงินจาก “บริษัท อ.” ที่เป็นบริษัทลูกแสนสิริ ซึ่งขณะนั้นมี “เศรษฐา” เป็นกรรมการฯ จำนวน 1,000 ล้านบาท เอาไปซื้อที่ดิน 565 ล้านบาท เกิดส่วนต่างเป็นเงินทอน 435 ล้านบาท
ทั้งนี้ “ชูวิทย์” ตั้งข้อสังเกตว่าเงินไปไหน เข้ากระเป๋าใคร เป็นการโกงผู้ถือหุ้นบริษัทแสนสิริ หรือไม่ ทำไมแสนสิริไม่ไปซื้อที่ดินเองเลย ทำไมตั้งบริษัทนอมินีไปดักไว้กลางทาง “แม่บ้าน” กับ “รปภ.” เป็นคนของใคร เอาเครดิตไหนไปกู้เป็นพันล้าน
จากนั้นเอาที่ดินมาขายให้ บริษัทแสนสิริ 1,000 ล้านบาท แล้วเปลี่ยนชื่อกรรมการในบริษัทนอมินีอีกรอบ จาก “แม่บ้าน” และ “รปภ.” มาเป็น “รปภ.” เพียงคนเดียว และกลายเป็นบริษัทร้าง ไม่ส่งงบการเงินติดต่อกัน 5 ปี
โดย “ชูวิทย์” ตั้งคำถามว่าปฏิบัติการดังกล่าวมี “ขงเบ้ง” คอยบัญชาการอยู่เบื้องหลังหรือไม่ พร้อมกับถามว่า การกระทำดังกล่าวคือการโกงใช่หรือไม่ และไม่ได้ทำแบบนี้ที่เดียว หรือทำมาแล้วหลายที่
ภายหลังเสร็จสิ้นปฏิบัติการแฉเพื่อชาติของ “ชูวิทย์” ด้านบริษัทแสนสิริ ออกแถลงการณ์โต้ทันทีว่า โดยยืนยันว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับ “บริษัท N” ตามที่ “ชูวิทย์” ออกมาเปิดข้อมูลนั้น
โดย บริษัทแสนสิริ ซื้อที่ดินในปี 2559 ราคา 1.1 ล้านบาท/ตารางวา ตามโฉนดตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งเป็นราคาที่เหมาะสม เพราะหากซื้อในราคา 565 ล้านบาท เท่ากับตารางวาละ 650,000 บาทเท่านั้น ซึ่งไม่สมเหตุสมผล เพราะคงไม่มีเจ้าของที่ดินรายใดในทองหล่อจะขายราคานี้ ซึ่งต่ำกว่าราคาตลาด
ขณะเดียวกันไม่เคยให้ “บริษัท N” กู้ยืมเงิน โดยมีหลักฐานที่อยู่ในสัญญาจำนองฉบับกรมที่ดิน
จากนั้น “ชูวิทย์” แฉต่อผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า ทุกอย่างที่ทำเป็นนิติกรรมอำพรางอย่างสมบูรณ์แบบ เตรียมเข้าแจ้งความกับ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. วันที่ 17 ส.ค. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมยืนยันเตรียมเปิดข้อมูลแฉต่อ ก่อนจะมีการโหวตนายกฯ เพราะนี่เป็นกระบวนการ “อาชญากรรมเศรษฐกิจ”
ด้าน “เศรษฐา” โพสต์ตอบโต้ พร้อมให้ตรวจสอบ แต่การตรวจสอบจะต้องสร้างสรรค์ และทำด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ มีข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง และไม่บิดเบือน ยืนยันในขณะที่เป็นผู้บริหารบริษัทฯ ที่ดินแปลงสารสิน ซื้อมาตามราคาตลาดที่เหมาะสม ส่วนที่ดินแปลงทองหล่อ ซื้อมาในราคา ตารางวาละ 1,100,000 บาท ซึ่งเป็นราคาตลาดตามปกติในขณะนั้น
ทั้งนี้ “เศรษฐา” เตรียมให้ฝ่ายกฎหมาย รวบรวมข้อมูลเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง และต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมจนถึงที่สุด
ทั้งหมดคือ ฉากสู้-ฉากรบ ของอดีตเพื่อน “ชูวิทย์” VS “เศรษฐา”โดยมีเก้าอี้นายกรัฐมนตรีเป็นเดิมพัน ขณะเดียวกัน"เพื่อไทย"ก็ไม่พ้นแรงกระแทกจากสังคม
ส่วนข้อมูล ข้อเท็จจริง จะเป็นอย่างไร ต้องรอติดตามกันต่อไป เพราะหลังจากนี้องค์กรที่เกี่ยวข้อง พร้อมรับไม้ต่อเข้าไปตรวจสอบอย่างแน่นอน