กกต.แจงละเอียด ทำคดีหุ้นสื่อ 'พิธา' ชี้เป็นข้อเท็จจริงส่วนบุคคลตามกฎหมาย
กกต.แจงละเอียด ดำเนินคดีหุ้นสื่อ “พิธา” ชี้เป็นข้อเท็จจริงส่วนบุคคลตามกฎหมาย พบความต่าง 3 ข้อ ยังไม่เคยมีคำวินิจฉัย ตอบชัดเลือกตั้ง 2 รอบ ไม่พบข้อมูลเหตุหน่วยงานต้นสังกัดไม่ได้แจ้ง แต่กฎหมายกำหนดข้อความ “รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีสิทธิ” โยน “ “พรรค-เจ้าตัว” รับรองตัวเอง
เมื่อวันที่ 18 ส.ค. 2566 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. กล่าวตอนหนึ่งถึงประเด็นคำถามถึงกระบวนการทำงานของ กกต.ว่ามีการรังแกนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในคดีหุ้นสื่อทั้งๆ ที่ได้รับการเลือกตั้งมาเป็นอันดับหนึ่ง ว่า อันดับแรก ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย อย่างที่สองคือ การเลือกตั้งคือความชอบธรรมที่จะมาบริหารประเทศ แต่ไม่ได้บอกว่า คนเลือกตั้งจะไม่มีความผิด หรือทำอะไรก็จะได้รับการยกเว้น ไม่ได้บอกว่าคนชนะเลือกตั้งจะทำอะไรก็ได้ ต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย
นายแสวง กล่าวว่า ทั้งนี้กรณีการถือหุ้นสื่อที่เป็นลักษณะต้องห้าม ซึ่งมี 2 องค์ประกอบคือการเป็นเจ้าของ หรือการเป็นผู้ถือหุ้น แล้วเป็นสื่อมวลชนประเภทใด คนติดสินก่อนเลือกตั้งคือศาลฎีกา หลังการเลือกตั้งคือศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนกกต.ไม่ใช่คนตัดสินเรื่องนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ซึ่งเป็นเรื่องประจำตัว ที่มีเอกสารยืนยันอยู่แล้ว หากผอ.เขตเลือกตั้งหากเจอก่อนก็ส่งเรื่องได้เลย หากเป็นแบบบัญชีรายชื่อ ทางกกต.ก็เป็นคนส่ง ส่วนถ้าหลังการเลือกตั้ง คนส่งคือ สส. หรือ สว. หรือกกต. แล้วแต่โครงสร้างของเรื่อง
นายแสวง กล่าวอีกว่า สำหรับแนวทางการปรับข้อเท็จจริงที่ใช้วินิจฉัยเรื่องนี้ ศาลรัฐธรรมนูญวางไว้ว่า 1. เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้น 2. เป็นกิจการหนังสือ หรือสื่อมวลชนใด 3. คือประกอบกิจการหรือไม่ และ 4. คือเลิกกิจการไปแล้วหรือเปล่า ซึ่งเมื่อดูข้อเท็จจริงที่ผ่านมาเราจะเห็นข้อเท็จจริง 3 ประการคือลักษณะแรกตรงตามตัวหนังสือคือเป็นผู้ถือหุ้นสถานีโทรทัศน์ ซึ่งเข้าองค์ประกอบทั้ง 4 เรื่อง แต่พอมาเรื่องลักษณะข้อเท็จจริงที่ 2 คือไม่ได้เป็นสื่อ แต่ในหนังสือบริคณห์สนธิเขียนว่ามีวัตถุประสงค์ในการทำสื่อ เรื่องนี้ศาลรัฐธรรมนูญก็จะฟังและวินิจฉัยว่าเข้าองค์ประกอบทั้ง 4 เรื่องหรือไม่ ซึ่งศาลให้ไปดูที่การประกอบกิจการว่า บริษัทนี้ถึงวางเสาไฟฟ้า ขายของ แต่มีวัตถุประสงค์ในการทำสื่อ ก็จะดูเพื่อให้รู้ว่ามีรายได้จากสื่อ แล้วศาลไม่ได้ระบุว่าหรือไม่เป็นช่วงของการรับสมัครหรือไม่ แต่จะดูแค่ว่าประกอบกิจการหรือไม่ มีรายได้จากสื่อหรือไม่ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นที่มีลักษณะข้อเท็จจริงที่ศาลรัฐธรรมนูญวางไว้ ถ้าไม่เคยประกอบกิจการสื่อเลย ศาลก็ไม่ถือว่าเป็นสื่อ ลักษณะอย่างนี้เป็นเกือบ 100 เรื่อง ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ซึ่งศาลยกคำร้อง
“กกต.จึงนำแนววินิจฉัยนี้มาใช้ว่า ไม่ประกอบกิจการสื่อเลยนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ไม่เคยมีรายได้จากตรงนี้เลย คือบริษัทไม่ได้ตั้งใจคำเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น แต่หนังสือบริคณห์สนธิมีวัตถุประสงค์ว่าทำสื่อ มาลักษณะข้อเท็จจริงประการที่ 3 เป็นสื่อ ประกอบกิจการหรือไม่ ก็พบว่าตั้งแต่ต้น แต่ว่าหยุด ไม่ดำเนินการเพราะมีข้อพิพาทให้หยุด แต่ยังไม่เลิกกิจการ ดังนั้นข้อเท็จจริงจะต่างกันอยู่ 3 อย่างจากเคยก่อนหน้านี้ ซึ่งยังไม่เคยมีแนววินิจฉัยมาก่อน แต่เมื่อมีปัญหา กกต.ใช่ไม่ใช่คนวินิจฉัย กกต.เป็นคนส่งเรื่อง” นายแสวง กล่าว
นายแสวง กล่าวด้วยว่า ถ้าถามว่าทำไมกกต.ตรวจไม่เจอ ก็ต้องขอชี้แจงว่า กกต.จะมีการขอข้อมูลด้านต่างๆ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกว่า 26 หน่วยงาน เมื่อส่งมาว่าไม่พบข้อมูล กกต.ก็จะไม่ทราบ กฎหมายจึงมีการเขียนไว้ด้วยว่า “รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีสิทธิก็ยังไปสมัคร” บางครั้งกฎหมายก็เขียนให้พรรคการเมืองและผู้สมัครรับรองตัวเองด้วย ดังนั้นเมื่อหน่วยงานที่ตรวจสอบแจ้งมาว่า ไม่มีรายการตามนี้ไม่ว่าจะปี 2562 และ 2566 แต่มีคนมาร้อง กกต.ก็ดำเนินการตามกระบวนการ พิจารณาตามข้อเท็จจริงที่ต่างกันอยู่ 3 ข้อดังกล่าว แล้วยื่นไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ไม่มีใครมาแทรกแซงได้ เป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า นายพิธาได้ฝากคำถามถึง กกต. 2 เรื่อง ประเด็นการถือหุ้นสื่อ นายแสวง กล่าวว่า เรื่องสำนวนจะมีกระบวนกรอยู่ ซึ่งยังไม่แล้วเสร็จ เมื่อถามย้ำว่า กรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อัยการก็มีการยกฟ้อง ทำให้ครั้งนี้ต้องมีความรัดกุม หรือต้องรอคำวินิจฉัยของศาลถึงส่งฟ้อง นายแสวง กล่าวว่า เรื่องมาตรา 151 นั้น ต้องมีความสัมพันธ์กับเรื่องคุณสมบัติ ซึ่งมาตรา 151 เป็นคดีอาญา จึงต้องดูที่เจตนา ต้องดูว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าอย่างไร และต้องดู หรือพิสูจน์เจตนาด้วย ส่วนที่ไม่ได้เรียกมาชี้แจงนั้น ตนไม่ทราบว่าในชั้นคณะกรรมการสอบสวน ซึ่งได้มอบรองเลขาฯ กกต. เป็นผู้กำกับดูแล รวมถึงอนุกรรมการวินิจฉัย ซึ่งจะมีวิธีการอยู่ ไม่สามารถไปแทรกแซงได้ แต่หากมีลักษณะที่จะเป็นการให้คุณให้โทษเขา ก็ต้องเชิญมาชี้แจง ซึ่งต่างจากลักษณะคุณสมบัติต้องห้าม อย่างไรก็ตาม ตอนนี้กระบวนการสอบสวนตามมาตรา 151 ยังไม่แล้วเสร็จ