เสียงเตือนรัฐบาลเพื่อไทย เตรียมรับมือเศรษฐกิจชะลอ
พรรคเพื่อไทยต้องคำนึงอย่างหนึ่งว่าการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นเพื่อให้ถึงเป้าหมายเศรษฐกิจขยายตัว 5% ไม่ใช่คำตอบที่ถูกที่สุด แต่ควรมองถึงการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่ต้องขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ประเทศ
การเข้ามาทำหน้าที่รัฐบาลบริหารประเทศของพรรคเพื่อไทย นอกจากจะมีความวุ่นวายในการจัดตั้งรัฐบาลที่ใช้เวลามากกว่า 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค.2566 ที่เป็นวันเลือกตั้งแล้ว ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล รวมทั้งต้องมีเรื่องร้องเรียนถึงศาลรัฐธรรมนูญในประเด็นการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรี ซึ่งทำให้หลายฝ่ายมีความกังวลถึงความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาล ที่จะส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจในช่วงที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่การฟื้นตัวชะลอลง
ผลกระทบสำคัญของเศรษฐกิจโลกที่รัฐบาลเพื่อไทยต้องเตรียมรับมือ คือ การส่งออกของไทยที่ติดลบต่อเนื่องมา 3 ไตรมาส รวมทั้งมีแนวโน้มที่จะติดลบต่อเนื่องและอาจทำให้มูลค่าการส่งออกของปี 2566 ติดลบได้ เพราะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าชะลอตัวลง รวมถึงด้านการท่องเที่ยวที่แม้จำนวนยักท่องเที่ยวจะเป็นไปตามเป้าหมาย แต่ในด้านรายได้ถือว่ายังต่ำกว่าช่วงก่อนมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ความหวังที่การท่องเที่ยวจะมาช่วยพยุงเศรษฐกิจทำได้ไม่เต็มที่
ในขณะที่ภาคการผลิตพบว่า ผลผลิตอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 2 ปี 2566 ชะลอตัว โดยมีปัจจัยลบสำคัญมาจากการส่งออกชะลอตัว เนื่องจากสินค้าอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ผลิตเพื่อการส่งออก ในขณะที่ผลผลิตภาคการเกษตรในไตรมาสที่ 2 จะดีขึ้นเล็กน้อย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะเอลนีโญมาตั้งแต่เดือน ก.ค.2566 จะมีผลต่อผลผลิตสินค้าเกษตรในช่วงครึ่งปีหลัง และต่อเนื่องถึงปี 2567 ที่ถือเป็นโจทย์สำคัญของรัฐบาลใหม่ที่ต้องเตรียมการรับมือ
ด้านการบริโภคพบว่าประชาชนกำลังติดกับดักหนี้ครัวเรือนที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยบั่นทอนกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ผ่านมาไม่ได้รวมสถานการณ์หนี้ของสหกรณ์เข้าไป และเมื่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีแนวคิดให้รวมหนี้ส่วนนี้เข้าไปขนาดของปัญหาหนี้ครัวเรือนที่แท้จริงย่อมใหญ่ขึ้น ซึ่งลำพังการพักหนี้ทั้งในเงินต้นและดอกเบี้ยของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลคงไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหานี้ได้ เพราะต้องทำควบคู่กับการสร้างองค์ความรู้ในการบริหารเงินและบริหารหนี้ให้ประชาชน
พรรคเพื่อไทยได้ประกาศที่จะผลักดันนโยบายให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวเฉลี่ยปีละ 5% ในช่วงที่เป็นรัฐบาล ถือเป็นสัญญาประชาคมที่พรรคเพื่อไทยจะทำงานอย่างเต็มที่เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยพรรคเพื่อไทยต้องคำนึงอย่างหนึ่งว่าการใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นเพื่อให้ถึงเป้าหมายเศรษฐกิจขยายตัว 5% ไม่ใช่คำตอบที่ถูกที่สุด แต่พรรคเพื่อไทยควรมองถึงการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจที่ต้องขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ประเทศและยกรับดับสู่ประเทศรายได้สูง หากทำได้ย่อมจะมีผู้สนับสนุนมากขึ้น