‘ชูวิทย์’ เปิดหลักฐานใหม่ ปมซื้อที่ดินถึง สส.-สว. เบรก ‘เศรษฐา’ นายกฯ
‘ชูวิทย์’ แฉรอบสุดท้าย เปิดแผนผังความสัมพันธ์ ปมซื้อขายที่ดิน ‘เศรษฐา’ อ้าง ‘แสนสิริ’ ใช้บริษัทลูกซื้อที่ดินแถวสุขุมวิท 2 ไร่เศษ ต่อจากบริษัท ‘นอมินี’ ของ ‘นายเบ้ง’ เจอเงินทอน 675 ล้านบาท ส่งหลักฐานทั้งหมดให้ สส.-สว. พิจารณาก่อนโหวตนายกฯ
เมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2566 ที่โรงแรมเดวิส นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง แถลงข่าวเปิดข้อมูลหลักฐานโต้แย้งนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย กรณีกล่าวหาเรื่องการซื้อขายที่ดิน จากบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง โดยระบุว่า จะเป็นการแถลงข่าวครั้งสุดท้าย
นายชูวิทย์ กล่าวว่า การแถลงข่าวครั้งสุดท้าย มีการโจมตีตนทุกเรื่อง แต่คนอย่างตนไม่สิ้นไร้ไม้ตอก ในมือตนคือโฉนดที่ดิน จำนวน 1 หมื่นล้านบาท เนื้อที่ 13 ไร่ ใจกลางสุขุมวิท โฉนดแปลงนี้คือ ด.ช.เศรษฐา ทวีสิน ท้ายสุดโฉนดแปลงนี้ตกเป็นของตน ที่ดินแปลงดังกล่าว เป็นที่ดินบ้านดั้งเดิมของนายเศรษฐา เมื่อถูกแบงก์ยึด ตนได้ซื้อไว้เมื่อปี 2542 ทั้งหมด มี 9 โฉนด นายเศรษฐา พยายามขอซื้อคืน แต่ไม่ขาย ทำไปทำไมก็พลอยโกรธตนไปด้วย นี่เกริ่นเป็นเกร็ด เพราะไม่อยากลงรายละเอียด แต่เพื่อให้เห็นว่า คนอย่างตนกับนายสนธิ (ลิ้มทองกุล อดีตผู้บริหารสื่อ) คนละชั้นกัน และสัปดาห์นี้นายสนธิก็จะถูกฟ้องด้วย
นายชูวิทย์ กล่าวว่า ตนพูดในประโยชน์ของแผ่นดิน ประโยชน์สาธารณะ ไม่เคยพูดเรื่องส่วนตัว ให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ทำหน้าที่ สิ่งที่พูดมาไม่ใช่คอมมิสชั่น แต่คือคอร์รัปชัน ความเข้าใจผิดที่มาโจมตีแรก ๆ คนพรรค์อย่างนี้ ไม่สมควรอยู่ เพราะตนไม่ได้เป็นนายกฯ ไม่ได้เล่นการเมือง โจมตีไปก็ไม่มีปัญหา เพราะที่ทำ ย้ายจากบริษัทหนึ่งมาอีกบริษัท ไม่ได้เงินสักบาท แต่เสียภาษีไป 77 ล้านบาท ตรงกันข้ามกับแปลงที่พูดไป ซื้อขายกัน 1,500 ล้านบาท ต่างกันเยอะ ตนเป็นนักบัญชี ย้ายจากกระเป๋าขวาไปซ้าย เพราะเตรียมลงทุน ถ้าใครสงสัยมาถามทีหลัง มีเอกสารหลักฐานซัพพอร์ต และพร้อมไปชี้แจงกรมสรรพากร
นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า ส่วนที่ดินกรณีของนายเศรษฐา มีการใช้หลักการเดียวกัน โดยที่ดินโฉนดนี้ มีเนื้อที่ 2 ไร่เศษ อยู่ในนามบริษัท ศิวะ แลนด์ จำกัด เจ้าของมี 4 คน ทุนจดทะเบียน 175 ล้านบาท เป็นเจ้าของโรงแรมแห่งหนึ่ง เจ้าของเป็นคนอินเดียที่มีระดับ มีเงินจำนวนมาก ที่ดินแปลงดังกล่าว อยู่ที่ติดถนนใหญ่ ข้างตึกไทม์สแควร์ เมื่อต้องการขายที่ดิน 884 วา หรือ 2 ไร่เศษ แต่เจ้าของเขามีการติดจำนองไว้กับธนาคาร BDL จำนวน 1 พันล้านบาท
ต่อมา เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2559 มีบริษัท คราวน์ซิตี้ จากฮ่องกง สัญชาติซามัวร์ โดยมีที่ตั้งเป็นเหมือนห้องเช่า เป็นบริษัทผี เป็นบริษัทนอมินีชัดเจน ตั้งอยู่ใกล้ ๆ นิวซีแลนด์ โดยซามัวร์เหมือนกับ BVI คือสวรรค์นักเลี่ยงภาษี พร้อมกับเอา รปภ.ชื่อนายโชคชัย เป็นประธานบริษัท มาเป็นนอมินีถือหุ้นในบริษัทมีที่ดินที่สุขุมวิท มูลค่าเป็นพัน ๆ ล้านบาท หลังจากนั้น รปภ.ชื่อนายโชคชัย นอมินีดังกล่าวได้ปลอดจำนองที่ดินกับแบงค์ BBL 1 พันล้านบาท ซื้อหุ้นบริษัท ศิวะ แลนด์ฯ อีก 175 ล้านบาท รวม 1,175 ล้านบาท ต่อมา 14 มี.ค. 2559 นอมินีซามัวร์คราวน์ซิตี้ เดิมถือหุ้น 48.57% ได้เปลี่ยนมาถือหุ้น 99.99% กลายเป็นบริษัทต่างด้าว
นายชูวิทย์ กล่าวว่า ทีนี้ใครเป็นคนดำเนินการ เที่ยวนี้ตนจะจับคุณ (นายเศรษฐา) คามือ เป็นปลาไหลดีนัก สังเกตชื่อ นายพธศลย์ อาริยชัยนันท์ ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นนายสกล เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นบริษัทนอมินีต่างด้าว หลังจากนั้นในวันเดียวกัน คือ 14 มี.ค. 2559 ดำเนินการขายที่ดิน 2-0-84 ไร่ มูลค่า 499.46 ล้านบาท หรือตารางวาละ 565,000 บาท แล้วคนไปซื้อคือคนเดิม คือบริษัทลูกของแสนสิริ ได้แก่ บริษัท พัฒนศิริ จำกัด มีนายเศรษฐาถือ 1 หุ้น และบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ถือ 99.99% ต่อมามีการนำที่ดินแปลงดังกล่าวไปจำนองแก่แบงค์ SCB มูลค่า 2,256 ล้านบาท
คำถามแรกคือ ขายไปได้อย่างไรเมื่อ 14 มี.ค. 2559 วันเดียวกัน เพราะผู้ถือหุ้นเปลี่ยนเป็นต่างชาติ 99.99% แล้วทำไมขายเพียงแค่ตารางวาละ 5 แสนกว่าบาท ตกเกือบ 500 ล้านบาทเอง ทั้งที่จำนองได้ 2,256 ล้านบาท บางคนบอกซื้อที่ดิน 500 ล้านบาท ก็ไปทำโปรเจ็คได้ แต่ซื้อในขณะเป็นบริษัทต่างด้าว ถามว่าทำได้อย่างไร ก็ทำได้ เพราะคนซื้อเอาหนังสือรับรองของวันที่ 11 มี.ค. 2559 ที่เป็นบริษัทไทย ไปใช้ในวันที่ 14 มี.ค. 2559 อันนี้คือข้อรั่ว หลังจากนั้นบริษัทลูกแสนสิริ ภายหลังกู้เงินได้ ก็ขายให้ BTS ร่วมทุนคือบริษัท บีทีเอส แสนสิริ โฮลดิ้ง จำกัด ปัจจุบันที่ดินแปลงนี้ ตกเป็นของบีทีเอส ขณะที่เมื่อตรวจสอบงบการเงินของบริษัทพบว่า แสนสิริลงบันทึกในงบการเงิน ต้นทุนค่าที่ดิน 1,850 ล้านบาท ทั้งที่แจ้งซื้อมา 499 ล้านบาทเศษ เพราะฝ่ายบัญชีตรวจสอบโดย EY Office Limited ผู้สอบบัญชีระดับโลก
“ทีนี้ต้องตั้งคำถามว่า โจทย์ 1,850 ล้านบาท ไปจ่ายเงินกู้ 1,000 ล้านบาท ลบกับทุนจดทะเบียน 175 ล้านบาท คงเหลือ 675 ล้านบาท เป็นเงินทอน แล้วเงินทอนหายไปไหน ก็หายไปในวันที่ 11 มี.ค. หลังจากบริษัทต่างชาติหุ้นกับ รปภ. และบริษัทต่างชาติ คือโอนไปคราวน์ซิตี้ที่ฮ่องกง” นายชูวิทย์ กล่าว
นายชูวิทย์ กล่าวอีกว่า คำถามคือแล้วเกี่ยวอะไรกับบริษัทลูกของแสนสิริ เพราะนายพธศลย์ หรือนายสกล เป็นคนของแสนสิริ อีกแล้ว เป็นนอมินี คนเปลี่ยนโครงสร้างหุ้นทั้งหมด เอาเงินไปจ่าย BBL และวันนี้ก็ยังอยู่ในบริษัทดังกล่าว เมื่อตนตามไปตรวจสอบบริษัทคราวน์ซิตี้ที่ห้อง พบว่า บริษัทควรหรูหรา เป็นออฟฟิศมีคนทำงานหน่อยหรือไม่ แต่นี่ไม่มีคนทำงาน สภาพเหมือนอะไร เหมือนแฟลต ยิ่งกว่าแฟลตอีก นี่ไม่ใช่คอมมิชชั่น แต่คือการคอร์รัปชันการวางแผนผู้ถือหุ้น
“ถามง่าย ๆ ว่า เมื่อบันทึกโดย EY ผู้สอบบัญชีระดับโลกว่า 1,850 ล้านบาท ทำไมซื้อที่ดินแค่เพียง 499 ล้านบาทเศษ เพราะบริษัทลูกแสนสิริ เพราะทำสัญญาผ่านนอมินี โดยนายพธศลย์ หรือนายสกล แม้จะอ้างว่าเป็นคนของผู้ขายไม่เกี่ยวกับตน แต่จะพิสูจน์ว่านายพธศลย์ หรือนายสกล ที่เป็นผู้ขายที่ดินให้แสนสิริ ทั้งจัดตั้งนอมินีคือใคร” นายชูวิทย์ กล่าว
เมื่อตรวจสอบที่อยู่บ้านนายพธศลย์ หรือนายสกล มีสภาพเป็นทาวน์เฮ้าส์หลังหนึ่งใน จ.สมุทรปราการ เป็นกรรมการบริษัทอย่างน้อย 3 แห่งที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ คือ บริษัท ศิวะ แลนด์ จำกัด ร้างหลังจากขายที่ดินให้แสนสิริ และไม่ส่งงบการเงินติดต่อกัน 5 ปี ส่วนอีก บริษัท เรียลตี้ จำกัด มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือนายทศพงศ์ จารุทวี หรือนายเบ้ง และบริษัท แนเชอรัล เพลส จำกัด มีผู้ถือหุ้นใหญ่คือนางศันสนีย์ จูตระกูล ญาติของนายเศรษฐาถือหุ้นร่วม
นายชูวิทย์ ยังโชว์แผนผังความสัมพันธ์ (Connection Tree) ระหว่าง 3 บุคคล คือ นายอภิชาติ จูตระกูล น้าสะใภ้ของนายเศรษฐา ขณะที่นายทศพงศ์ เป็นคู่เขยกับนายเศรษฐา โดยภรรยาของนายเศรษฐา (พักตร์พิไล ทวีสิน) และนายทศพงศ์ (ผะดาพร ปลัดรักษา) เป็นพี่น้องกัน โดยนายทศพงศ์ มีบุตรคนหนึ่งชื่อ ระวิพรรณ จารุทวี ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นลำดับ 7 ของแสนสิริ สรุปแล้วมีความพัวพันกันหมด
“แล้ว Connection Tree ตัวนี้มันไปที่คุณหมดแล้วคุณเศรษฐา ถามว่าอย่างนี้คุณเป็นนายกฯได้อย่างไร เป็นนายกฯประเทศไทยไม่ได้ เพราะการกระทำของคุณจัดตั้งนอมินี ทั้งในและต่างประเทศ และโอนเงิน 675 ล้านบาท เงินทอนตัวนี้ไปไหน คุณบอกเรื่องของคนขาย คนขายคือนอมินีคือนายพธศลย์ สรุปแล้วบริษัทที่แสนสิริซื้อ มีนอมินีเป็น รปภ.หมด จะบอกว่าไม่รู้จักไม่ได้แล้ว เพราะมันพันกันไปหมด” นายชูวิทย์ กล่าว
นายชูวิทย์ กล่าวด้วยว่า พฤติการณ์ซ่อนเร้นหรือไม่ เป็นพฤติการณ์ที่คุณบอกว่าตนขู่คุณ คุณไปแจ้งความเลย แต่เรียกร้องให้ ตลท.กระทำการให้ดี ตรวจสอบให้ด่วน เพราะสิ่งที่ ตลท.เงียบเฉย มีบริษัทต่าง ๆ ถ้าทำแบบนี้ ปกติตรงไหน เป็นคอมมิชชั่นธรรมดาเหรอ แต่คือการตั้งนอมินีดักไว้ล่วงหน้า เอากำไร เอาเงินตัดไป และโอนไปเมืองนอกอีก
นายชูวิทย์ กล่าวทิ้งท้ายว่า กระบวนการทั้งหมดให้ประชาชน สังคม สส. สว. ตนได้ส่งจดหมาย EMS ส่งถึง สส. 500 คน สว. 250 คน ถึงวันนี้เพื่อพิจารณาคุณสมบัติของนายเศรษฐา กรณีได้รับการสนับสนุนหรือไม่ได้รับการสนับสนุนก็ดี แต่มั่นใจว่า ถ้านายเศรษฐาเป็นนายกฯ อยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือน ครม.เปลี่ยนใหม่หมด เพราะเรื่องราวที่พูดล้วนพันกับนายเศรษฐาดิ้นไม่หลุด พันกันหมด ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว