"ชลน่าน" ย้ำ3ข้อ "เศรษฐา" ไร้คุณสมบัติต้องห้าม สวน "ก้าวไกล" คิดผิดจับมือด้วย
"ชลน่าน" ย้ำ3ข้อ "เศรษฐา" ไร้คุณสมบัติต้องห้าม ปมโอนหุ้น-ซื้อที่ดิน แค่ข้อกล่าวหาไร้ข้อมูล สวน "ก้าวไกล" เพื่อไทยคิดผิดยิ่งจับมือกันยิ่งจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้
การประชุมร่วมกันของรัฐสภา เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หลังจากสมาชิกอภิปรายเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นอภิปรายเพื่อชี้แจงเหตุผลรวมถึงคุณสมบัติของผู้ถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีใน 3 ประเด็นว่า
1.ข้อสงสัย และคำถามเกี่ยวกับคุณสมบัติและคุณลักษณะต้องห้ามของนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะประเด็นความซื่อสัตย์สุจริต หรือประเด็นปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติตามหลักจริยธรรม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งในบริษัทเอกชน ยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยดำเนินการตามรัฐธรรมนูญมาตรา88 ในการตรวจสอบคุณสมบัติ เรื่องนี้พรรคได้ให้ความสำคัญโดยให้ฝ่ายกฎหมายตรวจสอบอย่างเต็มที่ โดยพิจารณาประเด็นคุณสมบัติต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา160อย่างรอบคอบ ถี่ถ้วนพรรคเพื่อไทยไม่ได้ละเลยเรื่องนี้เพราะถือเป็นเรื่องใหญ่มาก
ข้อสงสัยหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นการหลีกเลี่ยงภาษี หรือกรจัดซื้อที่ดินที่ถูกกล่าวหาว่ามีการแต่งตั้งบุคคล ตัวแทน หรือนอมินี ยืนยันว่าเราได้ตรวจสอบข้อกฎหมายทุกอย่างล่วงเลยไปจนถึงจริยธรรมความซื้อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ยืนยันว่าไม่มีเรื่องใดๆที่เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายหรือมีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ผิดกฎหมาย
"ยืนยันกันท่านประธานไม่มีข้อเท็จจริงใดๆหรือหลักฐานใดๆที่บ่งชี้ว่า นายเศรษฐา ทวีสินไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีแต่ข้อกล่าวหาที่โน้มเอียงมีแต่เพียงนำหลักฐานที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับการทำธุรกิจมากล่าวอ้างเป็นเพียงข้อกล่าวหาไม่สามารถพิสูจน์ได้"
2. กรณีสมาชิกแสดงความเห็นไม่สามารถให้ความเห็นชอบนายเศรษฐาเป็นนายกฯได้ ด้วยเหตุผลในเรื่องจุดยืนการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาล ประเด็นนี้ยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยเคารพในเสียงทุกเสียงของประชาชน ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข วันนี้อาจมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย พรรคนั้นเป็นอนุรักษ์นิยม พรรคนั้นเป็นเสรีนิยม แต่ไม่ว่าจะเป็นอนุรักษ์นิยม หรือเสรีนิยมทั้งหมดล้วน อยู่ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข เพราะฉะนั้นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยยึดมั่นยึดถือารปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขสำคัญที่สุดคือระบบรัฐสภา ส.ส.ที่ถูกเลือกวันนี้498คนล้วนมาจากกรเลือกของพี่น้องประชาชน ทุกคนถือว่าเป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ
นพ.ชลน่าน ยังกล่าวว่า ที่ผ่านมาเรามีการแบ่งแยก ความแต่งต่างทางความคิดโดยเฉพาะ2ทศวรรษที่ผ่านมา พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย มีประสบการณ์ในเรื่องนี้คนที่เจ็บปวดที่สุดคือพี่น้องประชาชน ถามว่าเราขัดแย้งกันแล้วเราได้อะไรขึ้นมานี่คือจุดยืนและอุดมการณ์พรรคเพื่อไทย เราเห็นความย่อยยับและความสูญเสียเพราะเพียงมีความติดต่างกันแยกกันเดินบนพื้นฐานความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน เราจะปล่อยให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นต่อไปหรือไม่
"เราเห็นด้วยที่พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเราอันดับสอง141เสียงยินดีไปร่วมจัดตั้งรัฐบาล ถ้าไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผมบอกกับท่านประธานได้เลยว่าพรรคเพื่อไทยไม่มีการจับมือกับพรรคก้าวไกลในการจัดตั้งรัฐบาลเรารอ เราเป็นพรรคอันดับ2สามารถแย่งชิงจัดตั้งรัฐบาลได้ถ้าการเมืองและรัฐธรรมนูญเป็นปกติ แต่ด้วยสภาพบังคับของรัฐธรรมนูญไม่ร่วมมือกันไม่ได้ แต่เราก็คิดผิดยิ่งเราจับมือกันยิ่งจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้
ตั้งแต่ไทยรักไทย พลังประชาชนเราหัวชนฝาเราเจ็บเราเกิดก่อนเรามีประสบการณ์แล้วเราจะเอาหัวไปชนฝาแล้วทำให้พี่น้องประชาชน และประเทศชาติเสียหายเราไม่ทำสิ่งที่ดีสุดเราหันมาหาดุลอำนาจและให้เกิดประโยชน์กับประเทศที่ดีที่สุดเราต้องปกป้องสถาบันหลักของชาติ"
นพ.ชลน่าน ยังกล่าวว่า เมื่อเกิดความขัดแย้งพรรคเพื่อไทยขออาสาเข้ามาสลายความขัดแย้งขณะนี้เรามี11พรรคมั่นใจว่า 12 13 14และ 15จะตามมาเพื่อสร้างความเข้มแข็งการเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของพี่น้องประชาชนเราเชื่อว่าแนวทางการจัดตั้งรัฐบาลจะแก้วิกฤติของประเทศ
3.ข้อห่วงใยเรื่องนโยบายโดยเฉพาะประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ข้อเท็จจริงขณะนี้เป็นเพียงนโยบายที่ใช้หาเสียง หลังจากนี้จะเกิดเป็นนโยบายร่วมกันที่จะแถลงต่อรัฐสภาเมื่อถึงเวลานั้นท่านสามารถซักถามอภิปรายได้ ยืนยันว่าเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเราปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญทุกประการ
การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญเราแก้รัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยผ่านกระบวนการทำประชามติเราจึงประกาศมาตรการเร่งด่วนคือการแก้ไขปัญหาปากท้องและการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ(สสร.) ที่มีดุลภาพทุกฝ่ายทำงานร่วมกันได้
"บนพื้นฐานการเป็นรัฐบาลแห่งความปรองดอง บนพื้นฐานความรักสามัคคีของคนในชาติมีคุณค่าเท่ากันไม่แบ่งฝักฝ่ายเชื่อว่าทุกคนมีความปราถนาดีต่อบ้านเมือง"