รมว.เกษตรฯ "จุดเปลี่ยนอำนาจ" จับตา ‘ธรรมนัส’ หวนคืนเพื่อไทย
การที่ ธรรมนัส ได้นั่ง รมว.เกษตรฯ อาจเป็นเงื่อนไขต่อรอง หรือซื้อใจดึงมาร่วมงานกันต่อไปในอนาคตหรือไม่ นั่นก็คือการถอดเสื้อพลังประชารัฐทิ้ง แล้วไปสวมเสื้อแดงร่วมทัพเพื่อไทย ผนึกกำลังนายใหญ่ ที่ยังพอขายได้มากกว่านายเก่า
ภายหลังเห็นความชัดเจนเรื่องการแบ่งงานรองนายกรัฐมนตรี ก็ดูเหมือนจะสร้างแรงสั่นสะเทือนไปยังพรรคพลังประชารัฐอยู่ไม่น้อย
เมื่อกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เป็นรัฐมนตรีว่าการ กลับไปอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ จากพรรคเพื่อไทย แทนที่จะให้ไปขึ้นตรงกับ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จากพรรคพลังประชารัฐ
จนมีนักวิชาการบางคน หรือตามที่ หมอมิ้ง นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขานายกรัฐมนตรีออกปากเรียกว่า เป็นพวกแต่งนิยายร่ายยาวไปต่างๆ นานาว่า "ธรรมนัส" สั่งรื้องานแก้ปัญหาประมง ในยุคที่พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรองนายกฯ เคยทำไว้ เพื่อวางยารองนายกฯจากพลังประชารัฐ ในกรณีหากไทยถูกลดอันดับ IUU
แถมการดึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับน้ำและที่ดิน ซึ่งลุงป้อมเคยกำกับดูแลไปให้ ภูมิธรรม คุมแทน พัชรวาท จนกลไกที่จะต่อยอดงานพื้นที่ของพลังประชารัฐหลุดมือ และถูกตั้งข้อสังเกตหลากหลายแง่มุม
ตามที่หมอมิ้งชี้แจงถึงเหตุผลว่า ทำไมกระทรวงเกษตรฯ ไม่ขึ้นตรงกับ"พัชรวาท" ก็อ้างไปถึงสมัยทักษิณว่า การข้ามห้วยกันเป็นปกติ เพื่อเอาคนเก่งมาทำงาน และต้องการให้เกษตรฯ คู่พาณิชย์ เพราะเกี่ยวข้องกับการผลิต
ทั้งยังเคลียร์ด้วยว่า เรื่องแบ่งงานมีการพูดคุยกับรัฐมนตรีแต่ละพรรคแล้ว แต่ก็ยังมีข้อสังเกตว่าหมอมิ้งไม่ได้ตอบว่า ได้คุยกับพัชรวาทเรื่องนี้หรือไม่ เพียงแค่ระบุว่า ทางพรรคพลังประชารัฐเขาจัดการมา
ถ้าฟังตามที่หมอมิ้งชี้แจง ก็อาจจะเข้าใจได้ว่า เรื่องการแบ่งงานในส่วนที่ถูกพูดถึงนั้น ไม่ได้หารือกับพัชรวาทมาก่อน และมีแนวโน้มสูงว่า หารือกับธรรมนัสเป็นการเฉพาะหรือไม่ เพราะช่วงฟอร์มรัฐบาล ก็เป็นผู้กองคนนี้ที่มีบทบาทสำคัญ ในการดีลพรรคลุงป้อมเข้าร่วมรัฐบาลกระทั่งพาตัวเองขึ้นชั้นกระทรวงเกรดเอ อย่างกระทรวงเกษตรฯ ได้สำเร็จ
หากมองว่าเป็นสไตล์การบริหารจัดการของนายกฯเศรษฐา ทวีสิน วางคนให้ถูกกับงาน หรือวางงาน วางคน แบบบูรณาการเพื่อให้ผลลัพธ์ เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากมีการกำหนด KPI รัฐมนตรีทุกคน ขีดเส้น 90-100 วันแรก ต้องเห็นความพัฒนาก้าวหน้า โดยเฉพาะนโยบายเร่งด่วน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรฯ ต่างก็มีส่วนสำคัญในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของคนส่วนใหญ่ในประเทศ
แต่หากมองในมุมการเมือง อาจจะเริ่มเห็นสัญญาณเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในพลังประชารัฐ ไม่ช้าก็เร็ววันนี้
บรรดานักการเมืองจากหลายพรรค ต่างพูดต่อๆ กันมาว่า ให้จับตาดูให้ดี "ก๊วนธรรมนัส" อาจถึงวันโยกย้ายไปร่วมงานกับพรรคเพื่อไทยในอนาคต เผลอๆ อาจจะได้เห็นในการเลือกตั้งครั้งหน้าเลยก็ได้
เรื่องนี้ถูกพูดถึงมาก่อนที่การแบ่งงานรองนายกฯ จะคลอดออกมาเสียอีก และยิ่งเมื่อเห็นการจับวาง แยกธรรมนัสไปขึ้นกับรองนายกฯ จากเพื่อไทย ก็ยิ่งตอกย้ำเสียงเล่าลือ ให้ดูมีน้ำหนักมากขึ้นหรือไม่ เพราะหลายครั้งข่าวลือต่างๆ ก็คือความจริงที่มาก่อนเวลานั่นเอง
ขณะที่สถานการณ์ในพลังประชารัฐ ตั้งแต่หลังการเลือกตั้ง 14 พ.ค.2566 "ลุงป้อม" ที่ผิดหวังชิงเก้าอี้นายกฯ มาครองไม่สำเร็จ ก็ดูเหมือนแพสชั่นจะหดหายไปเยอะ และเอาเข้าจริง 40 เสียงของพลังประชารัฐ ก็อาจไม่จำเป็นต่อความอยู่รอดของรัฐบาลแต่อย่างใด เรียกง่ายๆ ว่าถึงไม่มีสส.พลังประชารัฐ เสียงของรัฐบาลก็เกินกึ่งหนึ่งอยู่ดี
ในเมื่ออะไรๆ ไม่ค่อยเป็นใจกับพลังประชารัฐ จึงอาจส่งผลกับอำนาจต่อรองในวันนี้ และความเข้มแข็งในการเมืองกระดานต่อไป ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า ก็ยังไม่มีใครตอบได้ว่า พรรคการเมืองนี้จะยังมีชื่อให้กาบาทอยู่หรือไม่
จึงไม่แปลก ถ้าคนใน และคนนอกพรรคต่างก็มองออก การเดินเกมการเมืองแบบที่เคยเป็นของพลังประชารัฐ กำลังนำพาพรรคไปสู่จุดที่ คนมีส่วนได้ส่วนเสียไม่อยากเห็น
การที่ธรรมนัส ได้นั่ง รมว.เกษตรฯ อาจเป็นเงื่อนไขต่อรอง หรือซื้อใจดึงมาร่วมงานกันต่อไปในอนาคตหรือไม่ นั่นก็คือการถอดเสื้อพลังประชารัฐทิ้ง แล้วไปสวมเสื้อแดงร่วมทัพเพื่อไทย ผนึกกำลังนายใหญ่ ที่ยังพอขายได้มากกว่านายเก่า
บริบทการเมืองแบบเก่า ไม่เคยเปลี่ยน ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร หรือเคยเป็นศัตรูกันมา วันหนึ่งก็จับมือจูบปากกันได้
นับประสาอะไร ถ้าธรรมนัส กับ ทักษิณ ที่คุ้นเคยกันมายาวนาน ร่วมงานกันมาก่อน จะหวนกลับไปอยู่บ้านหลังเก่าที่เคยจากมา ก็คงไม่แปลก ในวันที่อำนาจเปลี่ยนมือ ลมเปลี่ยนทิศ พัดผ่านบ้านป่าฯ ไปแล้ว