‘การเมืองสีกากี’เขย่า‘บิ๊กโจ๊ก’ ล้วงพรบ.ตำรวจ ชิง‘ปทุมวัน1’เดือด!
การเมืองสีกากีเขย่าเก้าอี้ “ปทุมวัน1! ” ลับลวงพลาง "แผนเตะสกัด-เกมเอาคืน" ล้วงลึกพ.ร.บ.ตำรวจฉบับใหม่ใครวิน-ใครวืด
การเมืองสีกากีเขย่าเก้าอี้ “ปทุมวัน1! ” หลังการบุกค้นบ้าน “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. นำมาสู่การออกหมายจับกลุ่มคนสนิท ที่เข้าไปมีส่วนพัวพันเว็ปพนันออนไลน์ โดยจำนวนนี้มีนายตำรวจรวมอยู่หลายราย
ปฏิเสธไม่ได้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกเหนือจะช็อกวงการสีกากีแล้วหลายคนยังจับตาไปที่ศึกชิงเก้าอี้ “ปทุมวัน1” ที่ยืดเยื้อมาตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้ว
หลังการบุกค้นบ้านรวมถึงออกหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้ง “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) รวมถึง “บิ๊กเด่น” พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ออกมาประสานเสียงว่า เป็นคนละเรื่องและไม่น่าจะกระทบการคัดเลือกตำแหน่งผบ.ตร.คนใหม่
ทว่าเมื่อส่อง “4แคนดิเดต” เรียงตามลำดับอาวุโส จะประกอบด้วย พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ,พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร., และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ดูแล้ว
แน่นอนว่า ชื่อสุดท้ายคือ “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ดูเหมือนว่าจะมาแรงในช่วงที่ผ่านมาถึงขั้นมีการแสดงความยินดีล่วงหน้ากันไปเป็นที่เรียบร้อย ไม่ต่างจาก “การเมืองสีกากี” ที่ขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือด เช่นนี้จึงไม่แปลกที่จะมีการจับจ้องไปที่แผนสกัดดาวรุ่ง
โดยเฉพาะตัว “บิ๊กโจ๊ก” ที่ออกมาโต้กลับกรณีที่เกิดขึ้นที่ไม่ต่างอะไรกับการเมืองสีกากีเชือดพนันออนไลน์หวังเตะสกัดให้หลุดวงโคจร
ในเรื่องคดีความใครเกี่ยว-ไม่เกี่ยว ใครตัวจริงตัวหลอก หรือจะเป็น “เกมเอาคืน” ของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ก็คงต้องไปว่ากันตามกฎหมาย ซึ่งอีกไม่นานน่าจะได้เห็นความคืบหน้า
แต่ในขณะเดียวกันอีกหนึ่งประเด็นน่าสนใจคือ ศึกชิงเก้าอี้ “ปทุมวัน1” รอบนี้ จะถือเป็นครั้งแรก ที่มีการคัดเลือกตามบทบัญญัติ “พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ2565” หรือ “พ.ร.บ.ตำรวจฉบับใหม่” ที่เพิ่งผ่านสภาชุดที่ผ่านมา ไปเมื่อเดือนก.ย.2565
ล้วงลึกบทบัญญัติ มาตรา78(1) ระบุถึงการแต่งตั้งตำแหน่งผบ.ตร. ว่า “ให้คำนึงถึงอาวุโสและความรู้ ความสามารถประกอบกัน โดยเฉพาะประสบการณ์ในงานสืบสวนสอบสวนหรืองานป้องกันปราบปราม เสนอก.ตร. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ”
ทว่าบทบัญญัตติดังกล่าวจนถึงขณะนี้ยังมีปัญหาถกเถียงในเรื่องการตีความ “มุมหนึ่ง” ตีความว่า การคัดเลือกผบ.ตร.ตามมาตราดังกล่าว อนุมานได้ว่า ให้น้ำหนัก “50:50” ระหว่าง “ความอาวุโส” และ “ความรู้ความสามารถ” ต่างจากเดิมที่กำหนดสัดส่วน “อาวุโส” 33 % และ “ความรู้-ความสามารถ” 67 %
แต่ “อีกมุม” มองว่า เมื่อกฎหมายไม่ได้กำหนดสัดส่วนกี่เปอร์เซ็น จะไปอนุมานว่า เป็นสัดส่วน “50:50” ไม่ได้ เพราะหากจะยึดการกำหนดสัดส่วน เทียบกับตำแหน่งอื่นๆ จะระบุชัดเจนว่าแต่งตั้งให้ยึดอาวุโสกี่เปอร์เซ็นต์ และความรู้ความสามารถกี่เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นการตีความว่าเป็นสัดส่วน “50:50” ทั้งที่กฎหมายไม่ได้กำหนด อาจเป็นการตีความที่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
หากจะตีความว่า เป็นสัดส่วน “50:50” ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ย่อมตีความได้ว่าตัวเองมีสิทธิทั้งสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้น สัญญาณยามนี้ต่างฝ่ายต่างช่วงชิงความได้เปรียบ โดยเฉพาะประเด็นชื่อ “1 พยางค์-2พยางค์” ซึ่งนักข่าวถาม “นายกฯเศรษฐา” กลางวงสัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาล
ว่ากันว่า “ชื่อ 1 พยางค์” ได้รับแรงหนุนจากหน่วยงานความมั่นคงที่อาจเป็นคนกลางเพื่อยุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ขณะที่ในส่วนของ “ชื่อ2พยางค์” มีการพูดถึง “สัญญาณ...” และยังอยู่ในช้อยที่ยังยังตัดทิ้งไม่ได้เช่นกัน
ยังไม่นับบรรดา“พลังอภินิหาร”ที่ต่างฝ่ายต่างคอยดันหลังหวังส่งคนของตัวเองขึ้นแท่น“ปทุมวัน1” บอกได้เลยว่าศึกชิง“ปทุมวัน1”รอบนี้ดุเดือดไม่แพ้เหล่าทัพอื่นแน่นอน
ไม่ต่างจากเกมการเมืองที่รอจังหวะ "พุ่งเข้าชาร์จ" หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพลี่ยงพล้ำ
โดยเฉพาะ1ใน4รายชื่อ ซึ่งเคยตกเป็นเป้าที่ฝ่ายการเมืองนำมาอภิปรายในสภาอย่างดุเดือดในยุคที่ผ่านมา ที่อาจเข้าทางคู่ต่อสู้รอจังหวะเปิดเกมเอาคืนหลังจากนี้!