เบื้องหลัง ‘งบพิเศษ’ ดูแลลูกน้อง เส้นเงินบัญชีม้าโยง ‘ทีมบิ๊กโจ๊ก’

เบื้องหลัง ‘งบพิเศษ’ ดูแลลูกน้อง เส้นเงินบัญชีม้าโยง ‘ทีมบิ๊กโจ๊ก’

“ตั้งแต่ปี 2564 เขาจะให้ผมครั้งละ 5 หมื่นบาท แต่ถ้างานเยอะก็ให้เงินหลักแสน ใช้เป็นค่าน้ำมันรถ ค่าเครื่องบิน ค่าอาหาร พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ออกเงินรับรองให้เราก่อน แม้จะมีงบราชการที่เบิกได้ แต่กว่าจะออกต้องใช้เวลา 3-4 เดือน เบิกได้เท่าไรก็ให้ทีมงานไปแบ่งกัน”

แม้ฉากจับมือเคลียร์ใจระหว่าง “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. กับ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. จะดับร้อนการเมืองในตำรวจไปได้บ้าง แต่คดี 8 นายตำรวจ ลูกน้องสายตรง “พล.ต.อ.สุรเชษฐ์” มีส่วนเกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์ยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง

หลักฐานหลักหนีไม่พ้น “เส้นเงิน” ที่มีการโอนจากบัญชีม้า เข้าสู่บัญชีลูกน้อง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในหลายรายการ โดยมีการแก้ต่างว่าพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้สั่งลูกน้องคนสนิทโอนเงินส่วนตัวไปช่วยทีมงานทำคดีความต่างๆ 

รายการคมชัดลึก ออกอากาศผ่านช่องเนชั่นทีวี ได้สนธนากับ “พล.ต.ต.ไพโรจน์ กุจิรพันธ์” นายกสมาคมพนักงานสอบสวน อดีตพนักงานสอบสวนที่ทำงานใกล้ชิดกับพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เกี่ยวกับการโอนเงินช่วยสนับสนุนการทำงาน

“พล.ต.ต.ไพโรจน์ เล่าวว่า ตนเดินทางไปให้ข้อมูลกับกองบังคับการตำรวจนครบาล 5 ด้วยตัวเอง เนื่องจากเส้นเงินที่อยู่ในผังเข้ามาที่ตน และตนได้โอนไปให้บุตรชาย ซึ่งตนไปแสดงความบริสุทธ์ใจ เนื่องจากเส้นเงินตอนนี้มันมีเยอะมาก เพราะเราใช้โทรศัพท์โอนเงิน เส้นเงินจึงเป็นเส้นบางๆที่ต้องพิสูจน์

อย่างกรณีสมคบกัน แม้เราจะสอบผู้ต้องหาเกี่ยวกับการโอนเงินผ่านบัญชี แต่ก่อนจะแจ้งข้อหา เราต้องให้รายละเอียดว่ามีการสมคบกันอย่างไร มีการพูด มีการคุยกันหรือไม่ ถ้าเขาไม่เคยเจอกัน ต่อเส้นเงินอย่างไรก็ไม่ชนกัน พนักงานสอบสวนต้องให้ความเป็นธรรม ต้องยึดจรรยาบรรณของพนักงานสอบสวน ไม่กลั่นแกล้ง และไม่มีอคติ เราต้องให้สิทธิเขาให้เขามาพิสูจน์
 

ผู้ดำเนินการถามว่า การพบว่าเส้นเงินเกี่ยวข้องกับบุคคลใด ต้องพิสูจน์ว่ามีการสมคบกันก่อนหรือไม่ พล.ต.ต.ไพโรจน์ เล่าวว่า หากในหมายจับมีการใช้ชื่อ ยศ ตำแหน่ง อาชีพ มันจะมีการพิจารณาให้หมายจะต้องเข้มงวดขึ้น ต้องดูให้ละเอียดว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่แล้วเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างไร เพราะเขาต้องมีโทษเพิ่มอีก 3 เท่า ซึ่งหนักขึ้น หากโดนโทษ 10 ปี ก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 30 ปี

พล.ต.ต.ไพโรจน์ บอกว่า ตนอยู่กับพล.ต.อ.สุรเชษฐ์มา ค่าใช้จ่ายทุกอย่างจะไม่มีให้ลูกน้องต้องออก และไม่มีการรบกวนใคร ภรรยาท่านก็บอกตลอดว่าหากขาดเหลือให้บอก พร้อมที่จะดูแลทุกอย่าง เวลาต้องไปทำงานในจุดต่างๆพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะให้พ.ต.ท.คริษฐ์ ปริยะเกตุ รองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวน สถานีตำรวจภูธร สำโรงเหนือ โอนเงินให้ก่อน 

“ตั้งแต่ปี 2564 เขาจะให้ผมครั้งละ 5 หมื่นบาท แต่ถ้างานเยอะก็ให้เงินหลักแสน ใช้เป็นค่าน้ำมันรถ ค่าเครื่องบิน ค่าอาหาร พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ออกเงินรับรองให้เราก่อน แม้จะมีงบราชการที่เบิกได้ แต่กว่าจะออกต้องใช้เวลา 3-4 เดือน เบิกได้เท่าไรก็ให้ทีมงานไปแบ่งกัน”

“นอกจากนี้ยังมีเงินรางวัลในการทำคดี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ก็ให้ลูกน้อง ล่าสุดของตนมีเงินรางวัลเข้า 4 ล้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ก็บอกผมว่าให้แบ่งทีมงาน ดูแลให้ทั่วถึง”
 

อย่างไรก็ตามพล.ต.ต.ไพโรจน์ ได้รับโอนเงินจากหนึ่งในบัญชีม้าที่ชื่อนายพุทธิพงษ์ จำนวนเงิน 5 หมื่นบาท ทำให้ต้องไปชี้แจงต่อพนักงานสอบสวน เนื่องจากถูกเชื่อมโยง

ผู้ดำเนินรายการถามว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ให้ลูกน้องโอนเงินมาเป็นล้าน เคยสงสัยหรือไม่ว่าเอาเงินมาจากไหน พล.ต.ต.ไพโรจน์ อธิบายว่า

“เราเชื่อในความบริสุทธิ์ ถ้าเรารู้ว่าเป็นบัญชีม้า จะให้โอนให้เราไหม เราก็คงต้องมีบัญชีม้ามารองรับ ซึ่งตนคิดว่าอาจจะมีอีกหลายคนที่จะเข้ามาให้ปากคำเกี่ยวกับบัญชีม้าที่ชื่อพุทธิพงษ์ เนื่องจากทีมงานพล.ต.อ.สุรเชษฐ์จะไปดูแลทีมทำงานในพื้นที่อีก บางหน่วยงานงบประมาณไม่มีก็ไปซื้ออุปกรณ์ให้"

ถามว่าพล.ต.อ.สุรเชษฐ์เอาเงินมาจากไหน อาจจะเป็นเงินที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์หรือไม่ พล.ต.ต.ไพโรจน์ ชี้แจงว่า “เราทำงานกับท่านมา เราเห็นความตั้งใจ ความพร้อมของครอบครัวท่าน พ่อตาท่านพร้อมให้ท่านทำงาน เราเห็นเรารู้ เราได้ยิน เป็นสไตล์นี้ทุกครั้ง คนเราไม่เหมือนกันทุกคน ท่านเป็นคนลักษณะที่ให้ได้ท่านให้เลย อย่างทีมงานผม ทุกอย่างไม่มีใครตั้งจ่าย โดยชื่อบัญชีที่โอนเงินมาเราไม่ได้รู้จัก เราอยู่ในทีมงานที่ทำงาน เราก็คิดว่าเป็นส่วนอำนวยการ”

ขณะเดียวกันพล.ต.ต.ไพโรจน์ เล่าว่า แชตไลน์กับพ.ต.ท.คริษฐ์ ตนไม่เคยลบ ส่วนใหญ่คุยกันเรื่องการโอนเงิน ถ้าไม่บริสุทธิ์ใจจะเอามาโชว์ทำไม และเคยขอให้พ.ต.ท.คริษฐ์  โอนเงินเข้าบัญชีลูกชาย เพราะเพิ่งเรียนจบอยากให้มีสเตทเม้นท์ในบัญชีธนาคารที่ดี ทั้งนี้แม้จะเกษียณอายุราชการแล้ว แต่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็ยังโอนเงินให้อยู่ โดยให้ค่าที่ปรึกษาเดือนละ 5 หมื่นบาท

ทั้งหมดคือเบื้องหลัง “เส้นเงิน” ที่ส่งตรงไปยัง “ลูกน้อง” ของพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในมุมที่ต้องชี้แจงกับสังคม หลังจากนี้ต้องคิดตามความคืบหน้าของคดี และติดตาม “บิ๊กเซอร์ไพรส์” ที่ขู่กันว่าจะแฉคู่แข่ง-คู่แค้น ยังจะเดินหน้าต่อหรือไม่ หลังฉาก “บิ๊กต่อ-บิ๊กโจ๊ก” จับมือกัน ส่อจะสงบศึกชั่วคราว