'พิธา' โชว์วิสัยทัศน์ในสหรัฐฯ ปัดเป็นฝ่ายค้านล้มรัฐบาลทุกวัน ยันรอได้
'พิธา' รับเชิญบรรยาย 'กองทุนคาร์เนกี้' โชว์วิสัยทัศน์ด้านเศรษฐกิจ-การต่างประเทศ ชู ‘ซิลิคอนคาร์ไบด์’ โอกาสของไทย แนะผนึกอาเซียน สู่การเป็นอำนาจกลาง จัดสมดุลใหม่ ออกจากความตึงเครียดจีน-สหรัฐ ปัดเป็นฝ่ายค้านจ้องล้มรัฐบาลทุกวัน ลั่นรอได้
เมื่อวันที่ 30 ต.ค. 2566 ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่กำลังอยู่ระหว่างการเยือนสหรัฐอเมริกา ได้เข้าร่วมรับเชิญให้เป็นผู้บรรยายสถานการณ์ประเทศไทย โดยองค์กรกองทุนคาร์เนกี้เพื่อสันติภาพโลก (Carnegie Endowment for International Peace) ในหัวข้อ “What’s Next for Thailand” (ก้าวต่อไปสำหรับประเทศไทย)
โดยนายพิธาตอบคำถามแรกเริ่มของพิธีกร ที่ขอให้พิธา"นิยามสถานการณ์การเมืองในประเทศไทยหลังการเลือกตั้ง"ว่าเป็นอย่างไร ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นหลังการเลือกตั้ง คือการสร้างฉันทามติร่วมของคน 1% ด้านบนสุด ในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน ยุติความขัดแย้งระหว่างเสื้อเหลือง-เสื้อแดงที่ดำเนินมาตลอด 17 ปี โดยแลกกับการผิดสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน แต่ในขณะเดียวกันก็เกิดการจัดแนวร่วมใหม่ระหว่างประชาชนที่อยู่ในส่วนล่างของทั้งสองข้าง จนกลายเป็นการแบ่งขั้วใหม่ในปัจจุบัน
นายพิธา กล่าวว่า ผู้นำมีฐานของการใช้อำนาจได้สองอย่าง คืออำนาจ (authority) ความชอบธรรม (legitimacy) หรือมีทั้งสองอย่าง แน่นอนว่าผู้ที่ไม่ชนะการเลือกตั้งแต่ได้โอกาสในการปกครอง ก็คือผู้ที่มีอำนาจแต่ไม่มีความชอบธรรมจากประชาชน ผู้ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งเลือกแล้วว่าอยากให้มีการทำตามสัญญาในนโยบายใด การใช้งบประมาณแบบใด การจัดลำดับความสำคัญสิ่งที่จะทำก่อน-หลังอย่างไร ซึ่งในฐานะฝ่ายค้าน ตนจะพยายามทำงานอย่างสร้างสรรค์โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง มอบทางเลือกให้กับประชาชน โดยไม่ใช่การจ้องจะล้มรัฐบาลทุกวัน เพราะตนสามารถรอได้
พิธีกรได้ถามถึงกรณีการเยือนต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ที่มีการหารือถึงประเด็นเศรษฐกิจเป็นหลัก ในยามที่โลกกำลังเผชิญความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ที่ส่งผลต่อห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ มองกรณีดังกล่าวว่าเป็นโอกาสของประเทศไทยเช่นกันหรือไม่ นายพิธา กล่าวว่า โดยพื้นฐานประเทศไทยเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดเป็นอับดับสองในอาเซียนในด้านขนาดเศรษฐกิจ แต่เป็นประเทศที่เติบโตต่ำที่สุดเป็นอันดับสองเช่นกัน สิบปีที่ผ่านมาเป็นทศวรรษที่สูญหาย เศรษฐกิจที่ดีอาจดีสำหรับ 1% แต่ไม่ใช่สำหรับคนที่เหลือ
"สำหรับวิกฤติเซมิคอนดักเตอร์ ตนเห็นว่ามาเลเซียมีโอกาสมาที่สุดในการได้ประโยชน์จากกรณีเซมิคอนดักเตอร์ ผู้ว่าการรัฐปีนังเคยให้ข้อมูลแก่ตนว่า 40% ของรายได้จากการลงทุนต่างชาติของมาเลเซีย มาจากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งมาเลเซียมีความได้เปรียบกว่าประเทศไทย ทั้งในด้านทรัพยากรมนุษย์ ทักษะ และภาษา ดังนั้ง จึงเป็นการยากสำหรับประเทศไทยที่จะแข่งขันกับแม้แต่ประเทศในอาเซียน ในการตักตวงประโยชน์จากวิกฤติห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์" นายพิธา กล่าว
นายพิธา กล่าวว่า สิ่งที่เสนอคือการหาสิ่งที่ “นิช” กว่า สิ่งที่เป็นโอกาสให้กับประเทศไทยได้ก็คือซิลิคอนคาร์ไบด์ ที่เป็นอะไรที่เล็กเกินไปสำหรับสหรัฐอเมริกา อินเดีย หรือญี่ปุ่น แต่ใหญ่พอที่จะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ประเภทอีวี โซลาร์เซลล์ ฯลฯ ได้ และนั่นคือสิ่งที่เราพอจะแข่งขันได้ เมื่อพิจารณาถึงความพร้อมและงบประมาณที่ประเทศไทยมีอยู่
พิธีกรถามนายพิธาต่อถึง"มุมมองต่อการเมืองระหว่างประเทศในปัจจุบัน" โดยนายพิธา กล่าวว่า เป้าหมายที่สำคัญเฉพาะหน้าคือสันติภาพของเอเชีย คำถามก็คือประเทศไทยจะอยู่ที่ไหนในการเดินหน้าสู่เป้าหมายนี้ ที่ผ่านมาประเทศไทยมีความสัมพันธ์กับมหาอำนาจแต่เพียงเรื่องพันธมิตรด้านความมั่นคง การค้า และการเป็นส่วนหนึ่งของโลกาภิวัฒน์ จึงถึงเวลาที่จะจัดสรรสถานะของประเทศไทยใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มีวาระมากมายที่ประเทศไทยสามารถร่วมมือกับโลกได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโครงสร้างพื้นฐาน ต่อต้านคอรัปชั่น การค้า สิทธิแรงงาน ฯลฯ และจะต้องมีการจัดสรรความสัมพันธ์ใหม่ให้ออกจากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน
นายพิธา กล่าวถึงบทบาทของอาเซียนว่า เมื่อประเทศไทยสามารถจัดการปัญหาภายในประเทศของเราได้แล้ว จะต้องทำงานกับอาเซียน โดยเริ่มที่ 5 ประเทศผู้ก่อตั้งอาเซียนเป็นขั้นต่ำ เพื่อเป้าหมายในการนำพาอาเซียนสู่การเป็นอำนาจกลาง ที่จะสามารถนำพาประโยชน์ร่วมกันได้
“ประเทศไทยเป็นประเทศขนาดเล็ก หากไม่ทำงานร่วมกับประเทศอาเซียน เราก็จะยังคงเป็นแค่ประเทศหนึ่งในอาเซียนต่อไป ประเทศไทยจึงมีบทบาทที่จะต้องทำ ในการจัดการปัญหาในประเทศไทย แล้วค่อยก้าวขึ้นมาสู่การเป็นอำนาจกลางร่วมกับอาเซียน ที่จะมีบทบาทในการจัดสมดุลใหม่ให้กับโลกไม่มากก็น้อย” นายพิธา กล่าว
นายพิธา กล่าวอีกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นสิ่งที่ดูห่างไกลในความรู้สึกของคนไทยจำนวนมาก ทั้งที่ในความเป็นจริง มันล้วนเกี่ยวข้องกับต้นทุนปุ๋ยที่สูงขึ้นจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน แรงงานไทยที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งอิสราเอล-ฮามาส วิกฤติในแดนเมียนมาและการโยกย้ายถิ่นฐานทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ถ้าประเทศไทยไม่มีส่วนร่วมในความสัมพันธ์ต่างประเทศเลย เราจะยังคงต้องจ่ายต้นทุนจากการไม่มีส่วนร่วมและไม่ได้รับประโยชน์อะไรต่อไป และเราทำเรื่องนี้คนเดียวไม่ได้ แต่ต้องทำด้วยกันในฐานะอาเซียน
นายพิธา กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยจะต้องมีการทบทวน จัดสมดุลใหม่ จัดสรรความสัมพันธ์ใหม่ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การพึ่งพาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไปในช่วงรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ทำให้หลายประเทศที่เคยเป็นพันธมิตรที่เข้มแข็งของประเทศไทยเริ่มเหินห่างไป แต่ตอนนี้เป็นยุคที่เราสามารถกลับเข้าสู่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศใหม่ได้อีกครั้ง ด้วยความระมัดระวังและท่าทีที่มีสมดุล และขึ้นอยู่กับหลักการมากกว่าข้างฝ่าย