'ลิณธิภรณ์' โต้ 'ก้าวไกล' ขวางแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่น แจงลดหนี้ทะลุเพดาน
‘ลิณธิภรณ์’ โต้ 'ก้าวไกล' รุมค้านนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บ.ไม่เข้าใจถ่องแท้ อย่ายัดเยียดความกลัวเป็นข้อจำกัดความเจริญประเทศ ยืนยันรัฐบาลศึกษารอบคอบรักษาวินัยการเงินการคลัง ย้ำต้องกู้เงินมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ไม่ให้หนี้สาธารณะเกินกรอบวินัยการคลัง
เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2566 น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อและรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท อันเป็นนโยบายที่สำคัญของพรรคเพื่อไทย หลังจากการแถลงของนายกฯเศรษฐา เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2566 ที่ผ่านมา ได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นที่รัฐบาลจำเป็นต้องดำเนินนโยบายดังกล่าว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและ GDP ของประเทศให้เติบโตเฉลี่ยปีละ 5 % เและตัวเลขธนาคารแห่งประเทศไทยไตรมาสที่ 3 ยังสะท้อน ว่าทั้งภาคการลงทุนและการบริโภค ตกลงทุกด้านเมื่อเทียบกับปี 2565 สอดรับกับการประเมินของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ระบุว่า ครึ่งปีแรกของปี 2566 เศรษฐกิจจะขยายตัวที่ 2.2% สะท้อนว่า ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยไม่ได้เติบโตอย่างแท้จริง เป็นเพียงภาพลวงตา
น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวต่ออีกว่า การที่ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และ สส.พรรคก้าวไกล อีกหลายท่าน ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นโยบายดังกล่าวนั้น ตนเข้าใจดี ว่าถือเป็นบทบาทของฝ่ายค้านที่ต้องการตรวจสอบ แต่ต้องไม่ลืมว่าการดำเนินนโยบายดังกล่าว รัฐบาลได้พิจารณาอย่างรอบคอบและถี่ถ้วนโดยศึกษาทั้งทางกฎหมาย และการเงิน รวมทั้งยังคงมุ่งรักษาวินัยทางการเงินและการคลัง การวิจารณ์ดังกล่าวนอกจากจะสะท้อนว่าผู้พูด ไม่ได้ศึกษาในรายละเอียดของคำแถลงอย่างถ่องแท้แล้ว ยังสะท้อนว่าผู้พูดมองแต่มุมของตนเอง ไม่ได้มองเห็นถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง
เพราะหากมองโดยปราศจากอคติ มีการคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกกำลังถดถอย สภาวะสงครามที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตได้ยาก สิ่งที่รัฐบาลทำวันนี้ จึงเป็นทางเลือกที่จำเป็นและเป็นสิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่เรียกร้อง และถือเป็นมิติใหม่ ที่รัฐบาล ‘ให้อำนาจกับประชาชน’ เป็นผู้ร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนี้ เพื่อกระตุ้นภาคการผลิตภายในประเทศ ซึ่งก็ดำเนินการควบคู่กันไปกับแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ทั้งระยะกลางและระยะยาว หากเป็นไปตามเป้าหมาย GDP ของประเทศจะสูงขึ้นเฉลี่ยปีละ 5% จะช่วยทำให้หนี้สาธารณะที่หมักหมมมาเป็น 10 ปี ลดลงเป็น 67.1% ได้
“ฐานคิดของพรรคเพื่อไทย เราพยายามทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้มาแล้วในหลายครั้ง เราสะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่มองไปในอนาคตเสมอ ถึงวันนี้เราเป็นรัฐบาลก็ยังยึดมั่นแนวทางนี้ ฝากถึงผู้วิจารณ์ทั้งหลาย อย่ายัดเยียดความกลัว ความกังวลของตนเองมาเป็นข้อจำกัดความเจริญเติบโตของประเทศเลย” น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าว
ขณะเดียวกัน น.ส.ลิณธิภรณ์ ยังทวีตข้อความผ่าน X (ทวิตเตอร์) @Rinthipond_Ying ตอบโต้ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กรณีทักท้วงว่าโครงการกระเป๋าเงินดิจิทัลนั้นพรรคเพื่อไทยกำลังทำผิดคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน รวมถึงมีการกู้เงิน 5 แสนล้านบาทแบบบมหาศาล โดยระบุว่า "อยากให้คุณวิโรจน์ ช่วยศึกษาในรายละเอียดของคำแถลงให้ท่องแท้ #ดิจิทัลวอลเล็ต และตัวเลขประกอบที่รัฐบาลนำเสนอ อาจช่วยให้เห็นความจำเป็นที่รัฐบาลต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ และอยากให้ช่วยพิจารณา นอกกรอบมุมมองของตนเอง แต่ให้คิดถึง พี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนเค้าเตรียมตัววางแผนการใช้จ่าย และมีธรุกิจขนาดเล็กๆ เอสเอ็มอีอีกมากมายที่กำลังจะตาย เพราะขาดกำลังซื้อ"
น.ส.ลิณธิภรณ์ ย้ำว่า "ส่วนเรื่องการกู้ เราไม่มีทางเลือกเพราะการกระตุ้นผ่านโครงการขนาดใหญ่ต้องใช้เวลา งบโครงการการลงทุนของรัฐบาลก็ล่าช้ากว่ากำหนดเพราะการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้า ดังนั้น หากไม่กระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ไทยมีตัวเลขงบขาดดุลที่ 700,000 ล้านบาททุกปี หนี้สาธารณะ ประเทศจะเกินกรอบวินัย การเงินการคลัง เป็น 72.2% ในปี 2570 แต่รัฐบาลใช้โครงการดิจิทัลวอลเล็ต กระตุ้นเศรษฐกิจสำเร็จ จีดีพีจะสูงขึ้นเฉลี่ยปีละ 5% และทำให้หนี้สาธารณะลดลงเป็น 67.1%"
"ไม่ต้องกังวลค่ะ เงินที่กู้มา อย่างน้อยที่สุด ก็อยู่ในระบบเศรษฐกิจไม่ได้หายไปไหน นอกจากนี้ยังเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต ที่จะโปร่งใส แม่นยำ ป้องกันการทุจริตได้ และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของรัฐบาลในอนาคต" น.ส.ลิณธิภรณ์ ระบุ