‘สุดารัตน์’ ซัด ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ไม่ใช่ยาวิเศษ สุดท้ายคนกลับไปจนเหมือนเดิม
“สุดารัตน์” แนะ ”รัฐบาล“ แก้ปัญหาเศรษฐกิจ ต้องเริ่มจัดการหนี้คนตัวเล็ก ชง พักหนี้ SMEs 2-3 ปี ชี้ กองทุนเครดิตปชช. ช่วยสางหนี้นอกระบบ ซัด “เงินดิจิทัล” ไม่ใช่ยาวิเศษ ที่จะทำให้ศก.โตยั่งยืน แค่กระตุ้นกำลังซื้อระยะสั้น สุดท้ายคนกลับไปจนเหมือนเดิม
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ว่า ต้องเริ่มจากการแก้ไขปัญหาที่ใหญ่ที่สุดนั่นคือภาระหนี้สินของคนตัวเล็ก และ SMEs เพราะคนกลุ่มนี้คือฟันเฟืองที่สำคัญ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะ SMEs รหัส21 ซึ่งก่อนหน้านี้เคยเป็นลูกหนี้ที่จ่ายเงินได้ตามปกติ ไม่มีประวัติผิดนัดชำระ แต่จากเหตุการณ์โควิดส่งผลให้ไม่สามารถใช้หนี้ได้ ตัวเลขจนถึงเดือนสิงหาคม 2566 มีลูกหนี้ในกลุ่มนี้สูงถึง 5.04ล้านบัญชี ยอดหนี้รวมกว่า 3.82 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2566 กว่า 7 พันล้านบาท
พรรคไทยสร้างไทย จึงเสนอมาตรการในการพักหนี้ ให้ SMEs 2-3 ปี ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย โดยกองทุนฟื้นฟูหนี้เสีย SMEs จะช่วยพี่น้องผู้ประกอบการรายเล็กรายย่อย ที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งล็อคดาวน์โควิด สามารถฟื้นตัวกลับมา ประกอบกิจการได้อีกครั้ง กองทุนดังกล่าว จะทำหน้าที่ในการปรับโครงสร้างหนี้ แล้วปล่อยกู้ใหม่เป็นสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ชำระคืนแบบขั้นบันได โดยมีดอกเบี้ยไม่เกิน 4% ต่อปี
ส่วนการแก้ไขปัญหา“หนี้นอกระบบ” พรรคไทยสร้างไทย เสนอ“กองทุนเครดิตประชาชน” หรือ“กองทุนคนตัวเล็ก” ซึ่งรัฐบาลสามารถจัดสรรงบประมาณ โดยแบ่งจากเงินกู้ 5 แสนล้านบาท มาใช้ใน กองทุนดังกล่าวประมาณ 2แสนล้านบาท เพื่อให้เครดิตกับประชาชน ได้มีทุนตั้งตัว ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ จึงจะทำให้หลุดพ้นจากวงจรของหนี้นอกระบบ ที่ดอกเบี้ยสูงถึงร้อยละ 20 ต่อเดือนหรือ 240% ต่อปี โดยกู้ได้ตั้งแต่ 10,000 บาท หากรักษาเครดิตได้ดี ภายในระยะเวลา 6 เดือนสามารถกู้เพิ่มเติมได้ เป็น 50,000 บาท และสูงสุดถึง 1 แสนบาท ซึ่งจะเป็นการให้โอกาส คนตัวเล็กในการสร้างเนื้อสร้างตัว สามารถทำมาหากินได้ สร้างงานสร้างอาชีพในระยะยาวได้
“ขอย้ำว่าเงินดิจิทัลไม่ใช่ยาวิเศษ ที่จะทำให้เศรษฐกิจโตอย่างยั่งยืน จะทำให้เกิดกำลังซื้อระยะสั้นเท่านั้น แล้วก็จะกลับไปเจอปัญหาความยากจนเหมือนเดิม อีกทั้งประชาชนทั้งประเทศยังต้องแบกรับความเสี่ยงจากการกู้เงินมหาศาลถึง 5 แสนล้านบาท พรรคไทยสร้างไทยจึงเสนอให้แจกแบบมีเป้าหมายเฉพาะผู้มีรายได้น้อย 16-20 ล้านคนเท่านั้น ที่สำคัญต้องแจกเป็นเงินสด จึงจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากได้” คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว