ลุ้นหลุดสส. 'ศาล' นัดชี้ขาดคดี 'ไอซ์ รักชนก' หมิ่นประมาท เจ๊ปอง-กนก

ลุ้นหลุดสส. 'ศาล' นัดชี้ขาดคดี 'ไอซ์ รักชนก' หมิ่นประมาท เจ๊ปอง-กนก

จับตาพรุ่งนี้ ‘ศาล’นัดฟังคำพิพากษาคดี ‘ไอซ์ รักชนก’ หมิ่นประมาท เจ๊ปอง-กนก ปราศรัยม็อบปี 64 ลุ้นถ้าผิดจริง ไม่ได้ประกัน หลุด สส. ทันที

เมื่อวันที่ 28 มกราคม ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ชวนลุ้นและให้กำลังใจ น.ส.รักชนก ศรีนอก หรือ ไอซ์ รักชนก ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล โดยวันพรุ่งนี้ (29 มกราคม) ศาลแขวงพระนครเหนือนัดฟังคำพิพากษาเวลา 09.00 น. คดีที่ น.ส.รักชนกถูกกล่าวหาว่าหมิ่นประมาท “เจ๊ปอง” อัญชะลี ไพรีรัก และ กนก รัตน์วงศ์สกุล 2 พิธีกรจัดรายการทางสถานีโทรทัศน์ช่องท็อปนิวส์ จากกรณีปราศรัยวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของสื่อมวลชนในการชุมนุม #ม็อบ6มีนา ของกลุ่มรีเด็ม (REDEM) บริเวณหน้าศาลอาญา เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2564

ศูนย์ทนายความฯระบุว่า หากศาลแขวงพระนครเหนือพิพากษาว่า น.ส.รักชนกมีความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 ให้ลงโทษจำคุก โดยไม่รอลงอาญา และไม่อนุญาตให้ประกันตัวในวันดังกล่าว จะถือว่า น.ส.รักชนกต้องคําพิพากษาให้จําคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล ซึ่งจะขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98(6) โดยทันที
 

ขณะที่ น.ส.รักชนกระบุทาง เฟซบุ๊ก ว่า ฟังคำพิพากษาพรุ่งนี้ 09.00 น. ที่ศาลแขวงพระนครเหนือฮะ วิจารณ์โดยสุจริตเพื่อประโยชน์สาธารณะ หวังว่าศาลจะเล็งเห็น

โดยคดีดังกล่าวศูนย์ทนายความฯเปิดเผยว่า ย้อนไปเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2564 อุดร แสงอรุณ ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ทั้งสอง ได้ยื่นฟ้อง น.ส.รักชนกโดยตรงต่อศาลแขวงพระนครเหนือ ในข้อกล่าวหา “หมิ่นประมาท” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 บรรยายฟ้องโดยสรุปว่า

เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2564 ขณะจำเลยร่วมชุมนุมทางการเมืองทำกิจกรรมที่หน้าศาลอาญา จำเลยได้พูดใส่ความโจทก์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จต่อบุคคลที่สามด้วยการตะโกนพูดกับ อิทธิพัทธ์ ปิ่นระโรจน์ ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์เนชั่นช่อง 22 ที่กำลังรายงานสดการชุมนุมถ่ายทอดออกอากาศในรายการข่าวข้นคนข่าวว่า
 

“พวกเราขอประณาม ถึงแม้พวกเราไม่มีสิทธิมีเสียงเท่าสื่อแต่เราบอกเลยว่าเราจะพยายามทำยังไงก็ได้ ให้เสียงคนธรรมดา พี่คะ เราเข้าใจว่าพี่ต้องทํางาน แต่ที่หนูต้องออกมาพูด เพราะเนชั่นทําร้ายระบบประชาธิปไตยมานาน เนชั่นทําข่าวบิดเบือน ยิ่งตอนที่เจ๊ปอง กับตอนที่กนกเป็นพิธีกร ยุยงปลุกปั่นให้ประชาชนเกลียดกันเอง นําเสนอเฟคนิวส์ทุกอย่าง ถ้าพี่ทํางานที่นี่อยู่ หนูคงต้องแสดงความเสียใจกับพี่ด้วย พี่เลยต้องโดนด่าแบบนี้”

“ช่อง 3, ช่อง 5, ท็อปนิวส์ จําไว้เลยถ้าพวกคุณยังเสนอข่าวแบบนี้อยู่ วันหนึ่งที่มีการสลายการชุมนุมแล้วมีคนตาย พวกคุณนั่นแหละ พวกคุณที่ไม่นําเสนอข่าวความจริงมีส่วนต้องรับผิดชอบในส่วนนี้ทั้งหมด สื่อที่บิดเบือนถ้าประชาชนบาดเจ็บหรือล้มตายขึ้นมา พวกคุณนั่นแหละที่เป็นเครื่องมือให้รัฐใช้ความรุนแรงกับประชาชน เราขอบคุณถ้าสื่อไหนรายงานตามความจริง พวกเราขอบคุณมาตลอด พวกเราติดตาม พวกเรารู้ แต่ถ้าสื่อไหนบิดเบือน เราก็รู้เช่นกัน”

“และถ้าวันหนึ่งมันเกิดเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยขึ้นมาจากการสลายชุมนุมเสื้อแดง 53 ที่สื่อพยายามประโคมข่าวตลอดมาว่าผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรง ผู้ชุมนุมเป็นพวกหัวรุนแรงมีอาวุธ นั่นแหละ มันคือสิ่งที่สร้างความชอบธรรมให้รัฐสลายการชุมนุม ใช้กระสุนจริงกับผู้ชุมนุม สื่อทุกคนที่รายงานบิดเบือน จําไว้เลยพวกคุณก็เป็นส่วนหนึ่งเหมือนกัน ที่ทําให้เสื้อแดงต้องตาย 99 ศพ”

ในคำฟ้องระบุว่า คำว่า “เจ๊ปอง” และ “กนก” หมายถึงโจทก์ทั้งสอง เป็นพิธีกร ยุยงปลุกปั่นให้ประชาชนเกลียดกันเอง นำเสนอเฟคนิวส์ (ข่าวเป็นเท็จ) ทุกอย่าง ข้อความดังกล่าวเป็นเท็จ ไม่เป็นความจริง ความจริงแล้วตลอดระยะเวลาที่โจทก์เป็นผู้จัดรายการทางสถานีโทรทัศน์ช่องเนชั่น โจทก์ไม่เคยเสนอข่าวที่เป็นการยุยงปลุกปั่นให้ประชาชนเกลียดกันหรือเสนอข่าวที่เป็นเท็จ (เฟคนิวส์) โจทก์ในฐานะพิธีกรเสนอข่าวที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา นำเสนอข่าวเป็นไปตามจรรยาบรรณของสื่อมวลชนที่ถูกต้องตรงกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น

โจทก์ยังอ้างว่า การกระทำของจำเลยที่เป็นการใส่ความโจทก์ซึ่งข้อความอันเป็นเท็จหรือฝ่าฝืนต่อความจริง อันเป็นการจงใจทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียง เกียรติยศ ทางทำมาหาได้ ฐานะทางสังคม และทางเจริญอื่นๆ ของโจทก์ และทำให้เกิดความรู้สึกเกลียดชังโจทก์ ส่งผลให้โจทก์มีรายได้ลดลง โจทก์จึงขอใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายทางแพ่งจากจำเลย โดยให้จำเลยชำระเงินค่าเสียหาย จำนวน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระครบถ้วน

ย้อนไปเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2565 ก่อนการไต่สวนมูลฟ้อง ทนายความได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งไม่รับฟ้องไว้พิจารณาคดีก่อนที่จะมีการไต่สวนมูลฟ้อง อย่างไรก็ตาม ศาลได้มีคำสั่งรับฟ้องในคดีนี้ จึงมีการสืบพยานโจทก์และจำเลยไปในระหว่างวันที่ 27-29 กันยายน, 30 พฤศจิกายน 2566 โดย น.ส.รักชนกยืนยันให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา