ม.160(7)รหัสลับดับฝัน‘พิธา’ ‘เซตซีโร่’สกัดแคนดิเดตนายกฯ?

Keypoits: 

• คำพิพากษาคดีแฟลชม็อบ อาจทำให้ประตูสู่การเป็นนายกฯของ“พิธา”  อาจต้องถูกปิดลงอีกครั้ง 

• รัฐธรรมนูญ มาตรา160(7) ว่าด้วยเรื่องคุณสมบัติ “รัฐมนตรี” รวมไปถึงนายกฯและ “แคนดิเดตนายกฯ”  ระบุว่า ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด หรือมีการรอการลงโทษ 

• กลเกมที่เกิดขึ้นแน่นอนว่า เป็นการตอกย้ำเกมบดขยี้-ไล่บี้พรรคส้ม ที่อาจนำไปสู่การ “เซ็ตซีโร่” ในช็อตต่อไป แม้บรรดาคีย์แมนส้มจะย้ำแล้วย้ำอีก “ยิ่งตียิ่งโต” ก็ตาม

เกือบ2สัปดาห์ที่บรรดา “ด้อมส้ม” ได้เฮยกแรก หลังศาลรัฐธรรมนูญมีวินิจฉัย เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 24 ม.ค.2566ที่ผ่านมา กรณีการถือหุ้นสื่อไอทีวีของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ไม่ขัดต่อต่อรัฐธรรมนูญ และไม่เป็นเหตุให้สมาชิกภาพ สส.สิ้นสุดลง

ทว่าการ “คืนตั๋วผู้แทน” ให้แก่พิธาได้กลับเข้าไปทำหน้าที่ในสภา พ่วงด้วยตำแหน่ง “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” สีส้ม หวังลุ้นการเมืองช็อตต่อไปนั่นคือ การลบครหา “นายกฯรถแห่” แปรเปลี่ยนมาเป็น “นายกฯตัวจริง” กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด 

ชะตากรรม “แกนนำส้ม” ที่แม้จะหมดบ่วงเก่า แต่ยังมีบ่วงใหม่คล้อง “พันธนาการ” ไว้อย่างต่อเนื่อง 

ไม่ว่าจะเป็น “คดีล้มล้างการปกครอง”  หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์เมื่อช่วงบ่ายวันที่31ม.ค.การกระทำของ “พิธา” และ พรรคก้าวไกล กรณีเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 พร้อมใช้เป็นนโยบายหาเสียงก่อนการเลือกตั้ง 2566 เป็นการดำเนินการที่ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา49 วรรค1

 

 

เวลานี้กลายเป็นเกมเข้าทางบรรดา “นักร้องเรียน” หยิบไปเป็นหัวเชื้องัดดาบสองยื่นยุบพรรคตามมาตรา92ของพ.ร.ป.พรรคการเมือง ลามไปถึงประเด็นจริยธรรมที่อาจทำให้ “พิธา” และอีก43ส.ส.สุ่มเสี่ยงติดโทษ “ประหารชีวิตทางการเมือง”

ล่าสุดยังมีกรณีที่ศาลแขวงปทุมวัน สั่งจำคุก “พิธา” รวมถึงแกนนำส้มทั้ง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, ปิยบุตร แสงกนกกุล, พรรณิการ์ วานิช รวมถึงแนวร่วม3ม๊อบนิ้ว เป็นเวลา 4 เดือน รอลงอาญา 2 ปี กรณีร่วมชุมนุมแฟลชม็อบ บริเวณสกายวอล์กสี่แยกปทุมวัน หน้าหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.2562

ผลจากคำพิพากษาในคดีอาญา จริงอยู่แม้จะไม่ทำให้ “แกนนำส้ม” ถูกจองจำในห้องขัง เนื่องจากศาลพิพากษา ให้รอลงอาญา2ปี

ทว่าในเชิงการเมืองแน่นอนว่า ผลคำพิพากษาที่ออกมาส่งผลให้ประตูสู่การเป็นนายกฯของพิธา ที่เปิดมาได้ราว2สัปดาห์ อาจต้องถูกปิดลงอีกครั้ง 

ในมุมกฎหมายมีการหยิบยกรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ที่เขียนคุณสมบัติ“รัฐมนตรี” ไว้สูงกว่า“ส.ส.”  โดยตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญระบุให้ “หลุดสส.” ก็ต่อเมื่อ“ต้องโทษจำคุก” และถูกจองจำโดยที่ไม่ได้รับการประกันตัว หรือ“คดีความถึงที่สุด”

ฉะนั้นในชั้นนี้แน่นอนว่าผลจากคำพิพากษา “พิธา”ยังถือ “ตั๋วผู้แทน” แบบไม่มีข้อถกเถียง

ทว่าอีกบ่วงที่อาจกลายเป็น “บ่วงใหม่” สกัดเส้นทางของพิธา กลับอยู่ที่คุณสมบัติความเป็น “รัฐมนตรี” ซึ่งจะถูกเหมารวมไปถึง “นายกรัฐมนตรี” และ “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี”  ซึ่งจะมีความเกี่ยวโยงกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2มาตรา 

มาตราแรก ว่าด้วยคุณสมับติของ “แคนดิเดตนายกฯ” ตามมาตรา89(2)  ระบุว่า ผู้ได้รับการเสนอชื่อต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามที่จะเป็นรัฐมนตรีตามมาตรา 160

ขณะที่ มาตรา160(7) เป็นเรื่องที่ว่าด้วยเรื่องคุณสมบัติ “รัฐมนตรี”  ระบุว่า ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก แม้คดีนั้นจะยังไม่ถึงที่สุด หรือมีการรอการลงโทษ เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท

ในมุมของ “นักกฎหมาย” จึงมองว่า ในชั้นนี้ประตูสู่ “นายกรัฐมนตรี” ของพิธา อาจถูกปิดลงอย่างแน่นอน เว้นเสียแต่ว่าการต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์ ศาลจะ “ยกฟ้อง” ซึ่งนั่นหมายความว่า แกนนำส้ม “ไม่มีความผิด”  จึงอาจเป็นประตูบานใหม่ในการหวนคืนสถานะ “แคนดิเดตนายกฯ” ของพิธาอีกครั้ง

เป็นเช่นนี้ไม่แปลกที่ “แกนนำส้ม” จะชิงเกมเร็วยื่นอุทธรณ์หวังลุ้นเกมยาวต่อจากนี้ 

กลเกมที่เกิดขึ้นแน่นอนว่า เป็นการตอกย้ำเกมบดขยี้-ไล่บี้พรรคส้ม ที่อาจนำไปสู่การ “เซ็ตซีโร่” ในช็อตต่อไป แม้บรรดาคีย์แมนส้มจะย้ำแล้วย้ำอีก “ยิ่งตียิ่งโต” ก็ตาม

วิบากกรรมพลพรรคส้มยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ แต่ยังมีหลากหลายฉากทัศน์การเมืองที่ต้องจับจาหลังจากนี้!