ศูนย์รวม 3 อำนาจ เชิดนายกฯ ?
ถึงเวลาผู้มีอำนาจกลับมาผงาด ควบคุมกลไก-กลเกมทางการเมืองเบ็ดเสร็จ สภาพของนายกฯ ย่อมถูกจับจ้องว่า อาจกลายเป็นหุ่นเชิดหรือไม่ และศูนย์กลางอำนาจ อาจเปลี่ยนจาก “ทำเนียบรัฐบาล” ไปอยู่ที่ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ก็เป็นไปได้
Key Point:
- หากไม่เกินคาด 18 ก.พ. "ทักษิณ ชินวัตร" จะได้รับการพักโทษ ทำให้ความเคลื่อนไหวทางการเมืองกลับมาคึกคักทันที
- กลเกมช็อตแรกต้องจับตาการ “ปรับครม.” เพราะตามสไตล์การบริหารของพรรคตระกูลชินวัตร จะต้องประเมินผลงานรัฐมนตรีแต่ละคน ภายหลังงานครบ 6 เดือน
- ช็อตสองเกมสลับพรรคร่วมรัฐบาล ในจังหวะที่ พรรคภูมิใจไทย ติดปมสุ่มเสี่ยงคดียุบพรรค ตรงกันข้ามกับ พรรคสีฟ้า ที่แต่งตัวพร้อมร่วมงาน
ชื่อของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เป็นหนึ่งใน 930 คน ได้รับการพิจารณาให้ “พักโทษ” จากคณะอนุกรรมการพักโทษพิจารณา โดยคาดการณ์ว่าเจ้าตัวจะพ้นจากสถานะนักโทษถูกคุมขัง มารับโทษนอกเรือนจำในวันที่ 18 ก.พ.นี้
“ทักษิณ” เข้าเกณฑ์พักโทษตามกฎหมายราชทัณฑ์ มาตรา 52 ดังนี้ 1. ต้องรับโทษมาแล้ว อย่างน้อย 6 เดือน 2. รับโทษมา 1 ใน 3 หากอันไหนมากกว่ากันก็ใช้ อันนั้นเป็นเกณฑ์ โดยต้องมีโทษจำคุกเหลือไม่เกิน 10 ปี
เมื่อ “นายใหญ่เพื่อไทย” ได้รับการพักโทษ อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญทางการเมืองหลังจากนี้ อย่างที่รู้กันว่า อำนาจในพรรคเพื่อไทยเวลานี้ ลึกๆ แล้วมีศูนย์รวมอำนาจ ที่เป็นเสมือนพระอาทิตย์ 4 ดวง
ดวงแรก คือ “เศรษฐา ทวีสิน” เบอร์หนึ่งตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาล
ดวงที่สอง คือ “แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย
ดวงที่สาม คือ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ สตรีหลังม่านพรรคเพื่อไทย
และดวงที่สี่ เป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก “ทักษิณ” ศูนย์รวมอำนาจตัวจริง
ช็อตแรกจับตาปรับครม.
พลันที่ได้พ้นจากการถูกจองจำ “แพทองธาร” ยืนยันว่าจะกลับไปพำนักที่ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” แน่นอนว่าตั้งแต่ระดับหัวแถว “บิ๊กการเมือง-คีย์เพลย์เยอร์” และหางแถวที่รอต่อคิว ย่อมวนเวียนเข้าหาอดีตนายกฯ อย่างแน่นอน
โดยเฉพาะบรรดานักวิ่งที่ยังไม่สมหวังกับตำแหน่งแห่งหน จ้องจะป้อนข้อมูลให้ “นายใหญ่” โดยตรง ไม่ต้องผ่านล่ามที่มีโอกาสถูกแปลงสาร จนทำให้สับสนในข้อมูล อยู่ที่จะเลือกฟัง-เลือกเชื่อข้อมูลจากใครมากที่สุด
กลเกมช็อตแรก ที่ต้องจับตาคือการ “ปรับครม.” เพราะตามสไตล์การบริหารของพรรคตระกูลชินวัตร จะต้องประเมินผลงานรัฐมนตรีแต่ละคน ภายหลังงานครบ 6 เดือน ใครสอบผ่านได้ไปต่อ ใครสอบตกหลุดเก้าอี้
นอกจากนี้ ยังมีเก้าอี้รัฐมนตรีอีก 2 ตำแหน่ง ที่ยังเหลืออยู่ เดิมเป็นโควตาพรรคเพื่อไทย 1 ที่นั่ง แน่นอนว่า พิชิต ชื่นบาน ที่ปรึกษาของนายกฯ ยังจับจองโควตา กันท่าไม่ให้ใครเข้ามาแทรก
อีกโควตาของพรรคพลังประชารัฐ แม้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ต้องการผลักดัน ไผ่ ลิกค์ สส. กำแพงเพชร แต่ศึกในพลังประชารัฐ เริ่มร้อนแรง เมื่อ“มือมืด” ใช้ปฏิบัติการข่าวปล่อยขย่ม “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ให้หลุดจากเก้าอี้รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำให้ “บิ๊กบ้านป่ารอยต่อ” ออกอาการไม่พอใจ ดีไม่ดี โควตาที่ยังว่าง อาจถูกเปลี่ยนมือไปให้กลุ่มอื่น
ฉะนั้น การปรับครม.ต้องจับตา “ทีมพิชิต” จะกล่อมนายใหญ่อย่างไร และท่าทีของ “พลังประชารัฐ” จะขย่มกดดันให้ปรับครม.ในช่วงไทม์ไลน์ครบ 6 เดือน ซึ่งเป็นไฟต์บังคับได้หรือไม่
วัดใจสลับพรรคร่วมรัฐบาล
ช็อตสอง เกมสลับพรรคร่วมรัฐบาล ในจังหวะที่พรรคภูมิใจไทย ติดปมสุ่มเสี่ยงคดียุบพรรค ภายหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย “ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” อดีตเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ในฐานะ อดีตรมว.คมนาคม ขาดคุณสมบัติรัฐมนตรี กรณีถือหุ้นบุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ซึ่งบริษัทดังกล่าวมีเส้นทางการเงินบริจาคให้กับพรรคภูมิใจไทย โดยขณะนี้ กกต. อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน เพื่อพิจารณาคดี
ดังนั้นหากนายใหญ่ต้องการเอาคืนลูกน้องเก่า การเขี่ยพรรคภูมิใจไทย ให้พ้นจากพรรคร่วมรัฐบาล ก็เป็นทางเลือกที่อาจมีความเป็นไปได้ เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์แม้จะอยู่ในขั้วฝ่ายค้าน ก็ถูกจับตาว่า ผู้มีอำนาจพร้อมเป็นพรรคอะไหล่
ที่สำคัญในช่วงโหวต “เศรษฐา” นั่งเก้าอี้นายกฯ ว่ากันว่า “เบอร์หนึ่งพรรคสีฟ้า” เปิดดีลกับ “บิ๊กเนมพรรคสีแดง” ตลอดเวลา บทสรุปบนโต๊ะเจรจาก่อนโหวตระบุว่า “ถ้าโหวตให้จะอยู่ในสมการ” ทำให้ขุนพลค่ายสะตอ พลิกโหวตนาทีสุดท้าย
ดังนั้นหากนายใหญ่เพื่อไทย คิดเปลี่ยนเกม-เปลี่ยนพรรคร่วมรัฐบาล “เจ้าของค่ายภูมิใจไทย” ก็แทบจะไร้แรงต่อรอง อีกทั้งยังมีสถานการณ์ไม่สู้ดี สส. เริ่มไม่แฮปปี้กับการที่ ปัจจัยในการดูแลพื้นที่ลดน้อยถอยลง
ช็อตสาม เกมเปลี่ยนตัวนายกฯ แม้ “เศรษฐา” จะพูดในหลายเวทีว่า จะอยู่ในตำแหน่งครบ 4 ปี แต่ความมั่นคงของเก้าอี้ ไม่ได้อยู่ที่ตัวนายกฯ แม้เศรษฐาจะมุ่งมั่นสร้างผลงานอย่างหนัก แต่ก็รู้กันว่า การตัดสินใจอยู่ที่ 3 อำนาจใน “ตระกูลชินวัตร”
เมื่อถึงเวลาที่ต้องส่ง “แพทองธาร” เดินตามรอยพ่อ เมื่อนั้นเก้าอี้นายกฯ ย่อมถูกยึดคืนได้ทันที
ที่ผ่านมา บางครั้งที่นายกฯปัจจุบัน เป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้รับคำบัญชาทุกเรื่อง ดังนั้นเมื่อถึงเวลาผู้มีอำนาจกลับมาผงาด ควบคุมกลไก-กลเกมทางการเมืองเบ็ดเสร็จ
สภาพของนายกฯ ย่อมถูกจับจ้องว่า อาจกลายเป็นหุ่นเชิดหรือไม่ และศูนย์กลางอำนาจ อาจเปลี่ยนจาก “ทำเนียบรัฐบาล” ไปอยู่ที่ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ก็เป็นไปได้