'ก้าวไกล' ล้ม! ลุกให้เร็ว 'ปกรณ์วุฒิ' ปลุกสภา สร้างกระแส
"รู้ทั้งรู้ว่ามีโอกาสโดนยุบพรรคสูง เพราะโครงสร้างอำนาจเป็นเหมือนเดิม แล้วก็ผู้มีอำนาจยังกลัวพรรคก้าวไกล กลัวพวกเราเหมือนเดิม เราก็รู้สถานการณ์มาตลอด แล้วก็ประเมินมาตลอดว่ามีความเป็นไปได้"
KEY
POINTS
- "ปกรณ์วุฒิ" เคยเป็นมือเบส วง Basher เจ้าของบทเพลง "เสียดายของ"
- ถูกเพื่อนสนิทชักชวนให้สมัครสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ จนได้เป็น สส.พรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกล
- ไม่คาดคิดจะได้เป็น "ประธานวิปฝ่ายค้าน"
- พรรคก้าวไกล ในฐานะฝ่ายค้านเคยลุกนับองค์ประชุมกลางสภาฯ เพียง 1 ครั้ง จนองค์ประชุมล่ม ทำให้เวลาต่อมา สส.ไม่กล้าโดดประชุมสภาฯ
- "ปกรณ์วุฒิ" เป็น 1 ใน 44 สส.ถูกร้อง ป.ป.ช.สอบจริยธรรมเข้าชื่อแก้ ม.112 ยืนยันพร้อมสู้ตามกระบวนการ
- "รู้ทั้งรู้ว่ามีโอกาสโดนยุบพรรคสูง ผู้มีอำนาจยังกลัวพรรคก้าวไกลเหมือนเดิม"
- หากพรรคก้าวไกล ล้มก็ต้องลุกให้เร็ว
- หวังใช้เวทีอภิปรายทั่วไปไม่ลงมติ มาตรา 152 จุดกระแสสังคมขึ้นมา ให้รัฐบาลปรับเปลี่ยนวิธีการ หรือปรับ ครม.
"ผมพูดอยู่บ่อยๆ เวลาคนถามว่าพรรคก้าวไกลสุดโต่งเกินไป แต่เอาจริงๆ หลายอย่างที่เรานำเสนอ ประเทศอื่นเลิกเถียงไป 20-30 ปีแล้วว่าสุดโต่ง" เอิร์ธ ปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และประธานวิปฝ่ายค้าน บอกผ่าน "กรุงเทพธุรกิจ"
จุดสูงสุดทางการเมืองของ "ปกรณ์วุฒิ" ไม่ใช่ตำแหน่งรัฐมนตรี เพราะเขารู้สึกมาตลอดว่ามีบุคคลในพรรคก้าวไกลที่เหมาะสมกว่าเขาเยอะมาก และต้องการให้ประเทศที่เขาอาศัยมีความปกติ ซึ่งความปกตินี้ควรเกิดขึ้นตั้งแต่เขายังเด็กด้วยซ้ำ
"ผมหันไปมองเขาทำงานกับเขาแล้วคิดเสมอว่าทำไมประเทศไม่ได้คนนี้เป็นรัฐมนตรี ผมคิดเสมอว่าหลายคนเหมาะสมกว่าผม"
"ปกรณ์วุฒิ" ปัจจุบันใกล้อายุ 43 ปี ในวันที่ 22 เม.ย.นี้ เขาบอกว่าการเมืองในวัยเด็ก มีความทรงจำเพียงม้วนเทปวิดีโอ 2 ม้วนประมวลเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ปี 2535 ซึ่งได้นั่งดูที่บ้านและไม่รู้ที่มาที่ไปมากนัก
"ตอนนั้นก็รู้มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังต่อสู้กับกลุ่มที่ยึดอำนาจจากประชาชนไป เป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เรารู้แค่ว่า มันมีการกระทำรุนแรงต่อเพื่อนร่วมชาติด้วยกัน รู้สึกแค่นั้น แน่นอนรู้สึกไม่ดี"
"เอิร์ธ" สำเร็จการศึกษาจากคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เมื่อปี 2546 โดยช่วงปีที่ 4 เป็นช่วงที่เขาเล่นดนตรีหนักมากที่สุดในชีวิต เคยผ่านการประกวดทั้งภายในมหาวิทยาลัยและนอกมหาวิทยาลัย เคยมีโอกาสได้เล่นในเวทีของนิตยสาร aday พอจบปี 4 จากที่เคยได้เกรด 3.1 แต่ปีสุดท้ายเขาเอาแค่ผ่านเท่านั้น
"เรียนจบผมอยากเป็นนักดนตรี เดินไปบอกพ่อแม่ พ่อแม่ก็ตกใจนิดหน่อย เขาก็เป็นห่วง เพราะเขาก็รู้ว่าไม่มีความมั่นคง ผมก็สัญญาณกับเขาว่า ขอเวลา1 ปี ถ้าไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย ผมก็จะไปหางานทำ"
ด้วยความฝันที่อยากเป็นนักดนตรี "ปกรณ์วุฒิ"ได้ถูกเพื่อนของเพื่อนที่รู้จักมาชักชวนให้ไปเป็นมือเบสของ วง Basher ซึ่งจังหวะนั้นวงนี้กำลังจะเปิดตัว และออกเพลง "เสียดายของ" ก่อนประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย
"ตอนปี 2548 มาอยู่กับ Basher ไม่มีเวลาคิดทำอย่างอื่น เพราะทัวร์คอนเสิร์ตอยู่ทุกวัน ปีนั้นปีเดียวเป็น 100 โชว์ ตอนนั้นเสียดายของประสบความสำเร็จมากจริงๆ"
หลังจากประสบความสำเร็จกับ วง Basher "เอิร์ธ" เริ่มเข้าไปคลุกคลีกับการเป็นผู้ประกอบการสตาร์ทอัพในช่วงปี 2555-2556 พร้อมทั้งผลิตแพลตฟอร์มแอปพลิเคชันวิเคราะห์หุ้น และช่วงนั้นเขาก็เริ่มสนใจเกี่ยวกับบิตคอยน์
เพื่อนสนิทชักชวนให้สมัคร "อนาคตใหม่"
จุดหักเหของชีวิตที่ทำให้เริ่มเข้าสู่แวดวงการเมืองต้องย้อนไปเมื่อปี 2557 เป็นช่วงมีการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เขาเล่าว่า "เป็นคนหนึ่งที่แสดงออกอย่างชัดเจนอย่างน้อยในโซเชียลมีเดียของตัวเองว่าต่อต้านการรัฐประหารครั้งนี้"
ทันทีที่พรรคอนาคตใหม่เริ่มเปิดตัวช่วงปี 2561 "เอิร์ธ" ถูกเพื่อนสนิทสมัยเรียนมัธยมฯ ชักชวนให้ไปสมัครสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ ด้วยเหตุที่เพื่อนเขาเชียร์ "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ในขณะนั้น
"ผมก็ไปไล่ดูคลิปของคุณธนาธร อาจารย์ปิยบุตร แสงกนกกุล ที่เริ่มโปรโมทช่วงก่อตั้ง ผมดูไปเรื่อยๆ ความรู้สึกของผมตอนที่ดูจบ ผมรู้สึกว่าประเทศนี้มีคนที่คิดเหมือนเราขนาดนี้เลยเหรอ ผมรู้สึกมีหวังขึ้นมาทันที"
ก่อนถึงการเลือกตั้งปี 2562 "ปกรณ์วุฒิ" ถูกเพื่อนคนเดิมชักชวนอีกครั้งให้ลงสมัคร สส. ทั้งที่เขาไม่เคยเจอหน้า "ธนาธร" หรือแม้แต่ "ปิยบุตร แสงกนกกุล" เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ขณะนั้นแม้แต่ครั้งเดียว
เขาเล่าว่า "วันหนึ่งผมเล่นดนตรีอยู่บนเวที แล้วก็มีโทรศัพท์มาไม่ได้รับมีเบอร์แปลกๆ วางโทรศัพท์ไว้บนสแตนโน๊ต พอเล่นเสร็จโทรกลับไป เขาบอกเป็นเจ้าหน้าที่พรรคอนาคตใหม่ แจ้งว่าคุณปกรณ์วุฒิว่าได้เป็นผู้สมัคร สส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 37 ผมก็หันไปบอกเพื่อนว่าได้ลำดับที่ 37 เพื่อนในวงก็ตื่นเต้นนะ ตื่นเต้นแบบไม่มีใครคิดแม้แต่นิดเดียวว่าผมกำลังจะเป็น สส."
เสร็จสิ้นผลการนับคะแนนเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2562 "ปกรณ์วุฒิ" มั่นใจว่าคะแนนมาอย่างมากมายเพียงพอทำให้เขาได้เป็น สส.แบบบัญชีรายชื่อ
"คืนนั้นผมหลับตี 4 มันนอนไม่หลับ งง คือ สส.ต้องทำอะไร ผมยังไม่รู้เลย"
แค่ 4 ปีประสบความสำเร็จ "ก้าวไกล" ชนะเลือกตั้ง
"ปกรณ์วุฒิ" สะท้อนถึงผลเลือกตั้ง วันที่14 พ.ค. 2566 ที่ "พรรคก้าวไกล" ชนะถล่มทลายทั้งที่พรรคเพิ่งก่อตั้งไม่นาน ชนะเลือกตั้งมาเป็นที่หนึ่ง คว้า สส.ถึง 151 คน
"เสียดายอีกนิดเดียว เราจะเห็นประเทศไทยเป็นอีกแบบหนึ่ง ผมคงพิสูจน์ไม่ได้ เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น ณ วันที่วันเดียวกัน ถ้าเหตุการณ์เป็นอีกแบบหนึ่ง ผมเชื่อว่าประเทศเราจะมีอะไรแตกต่างจากนี้อีกเยอะมาก"
"คุณธนาธร พูดบ่อยๆว่า 20 ปี นี่ผ่านมา 5 ปี ผ่านมา 4 ปีแล้วชนะเลือกตั้งแล้ว เรามาไกลกว่าที่ใครๆ เราคาดคิดด้วยซ้ำ เรามาไกลและประสบความสำเร็จมากแล้ว"
หลังการเลือกตั้งปี 2566 สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 26 มารายงานตัวครบ ทั้ง 500 คน ประเทศไทยไม่ได้ "พรรคก้าวไกล" เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่กลับได้ "ก้าวไกล" เป็นแกนนำฝ่ายค้าน
"ปกรณ์วุฒิ" ถูกเลือกให้เป็นประธานวิปฝ่ายค้าน "พอมาเป็นประธานวิปฝ่ายค้านครั้งแรกก็งง ก็แอบงง นิดหน่อย เขาไม่ได้ให้เหตุผล ผมรู้แต่ว่ากรรมการบริหารพรรคมีมติมา จริงๆ มีการพูดคุยกับ สส.สมัยที่ 2 ที่มีอยู่ 20 กว่าคน คุยหลายๆ คนแล้วว่าเป็นชื่อผม ซึ่งโอเคแน่นอน ถ้ามีเสียงไม่เห็นด้วย ผมว่าเขาก็คงไม่ใช่ชื่อผม"
นับองค์ประชุม 1 ครั้ง ขวาง สส.โดดสภาฯ
ระหว่างที่ "ปกรณ์วุฒิ" เป็นประธานวิปฝ่ายค้านมีการเสนอญัตตินับองค์ประชุมกลางสภาฯ เพียง 1 ครั้ง และครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่องค์ล่ม
"ผมก็เรียนรู้แทคิติกมาจากพรรคเขา ตอนเป็นพรรคอนาคตใหม่ผมก็ไม่รู้มีการใช้แทคติกนี้ ผมก็รู้มีแทคติกจากฝ่ายค้านไม่แสดงตน แล้วให้ฝั่งรัฐบาลรับผิดชอบองค์ประชุม ผมก็เรียนรู้จากพรรคเขาที่แขวะผม"
เหตุที่ต้องลุกขึ้นเสนอญัตตินับองค์ประชุมตอนนั้น พรรคก้าวไกลมองว่าฝั่งรัฐบาลที่มีอยู่ 300 กว่าเสียง และในหลายๆ วาระก็เป็นวาระของฝั่งรัฐบาล ซึ่งก็ต้องพิสูจน์ว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับวาระของตัวเองเพียงใด
"ปรากฏว่าแสดงตนออกมามีฝั่งรัฐบาลอยู่ 90 กว่าคน ตกลงคุณเห็นความเดือดร้อนประชาชนจริงหรือเปล่า ผมว่านี่แหละคือบทพิสูจน์ว่าถ้าคุณเห็นความเดือดร้อนของประชาชนในวาระนั้นๆ ของสภา แล้วพวกคุณไปไหนกัน ทำอะไรกัน กลับบ้านกันหมดแล้วครับ"
ประธานวิปฝ่ายค้านยืนยันว่า แทคติกการแสดงตนเพื่อตรวจสอบองค์ประชุมในสภาฯ อาจมีการใช้อยู่เรื่อยๆ ในอนาคต ซึ่งการนับองค์ประชุมจนสภาฯ ล่มในครั้งแรก มีผลทำให้ สส.ในสภาฯ กลับบ้านน้อยลง
รู้มีโอกาสยุบ "ก้าวไกล" ล้มต้องลุกให้ไว
ถามว่า ศาลรัฐธรรมนูญเตรียมจะรับหรือไม่รับคำร้องยุบพรรคก้าวไกล ซึ่งอาจซ้ำรอยยุบพรรคอนาคตใหม่ได้ "ปกรณ์วุฒิ" ตอบทันทีว่า "เลยจุดกังวลแล้ว ผมว่าตั้งแต่ถูกยุบพรรคอนาคตใหม่ เราก็ตั้งพรรคก้าวไกลขึ้นมา ตอนเปิดตัวพรรคครั้งแรก มีนักข่าวถามว่า กลัวพรรคถูกยุบไหม ตั้งแต่วันแรก เหมือนสังคมคาดเดาตั้งแต่ต้น ผมยืนยันว่าการยุบพรรคไม่ใช่เรื่องปกติแล้วเราก็ไม่ควรทำให้เป็นเรื่องปกติ"
เขาตอบอีกว่า "รู้ทั้งรู้ว่ามีโอกาสโดนยุบพรรคสูง เพราะโครงสร้างอำนาจเป็นเหมือนเดิม แล้วก็ผู้มีอำนาจยังกลัวพรรคก้าวไกล กลัวพวกเราเหมือนเดิม เราก็รู้สถานการณ์มาตลอด แล้วก็ประเมินมาตลอดว่ามีความเป็นไปได้"
"มันคงไม่ใช่ความกังวลแล้ว ก็เตรียมพร้อมทุกวิถีทาง ทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วก็เตรียมพร้อม ผมคิดว่าประเด็นก็คือแน่นอนถ้ามีการยุบพรรคเกิดขึ้น เราคงเสียใจ เราคงมีความเศร้าแน่ๆ แต่สิ่งที่สำคัญกว่ามันต้องลุกให้เร็ว"
"ปกรณ์วุฒิ" บอกว่า "ถ้าเราอยากเห็นความเปลี่ยนแปลง ที่อย่างน้อยๆ เราพิสูจน์ให้เห็นว่ามีประชาชนจำนวนมากเห็นด้วยกับข้อเสนอของเรา เราต้องนำพาความหวังของประชาชนนั้นไปต่อให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นชื่อพรรคไหนก็ตาม"
ถามถึง "ปกรณ์วุฒิ" เป็น 1 ใน 44 สส.ที่ถูกร้องประเด็นจริยธรรมต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เกี่ยวกับ สส.พรรคก้าวไกลเคยลงชื่อเสนอแก้ไขมาตรา 112 "ปกรณ์วุฒิ" ระบุว่า "สู้กันไปตามกระบวนการอย่างเต็มที่ ผมว่ามันไม่สำคัญเท่าไร การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไม่ได้ทำได้ผ่านการเป็น สส.หรือรัฐมนตรีเท่านั้น ผมว่าทำได้อีกหลายทาง ทุกวันนี้คุณธนาธรมีบทบาทสูงมาก ทั้งที่ไม่ได้มีตำแหน่งอะไรเลย เป็น สส.ได้เข้าสภาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้น แต่การเปลี่ยนแปลงสามารถสร้างได้อีกหลายทาง"
"วันนี้ผมเริ่มรู้สึกแล้วว่า การมาทำงานการเมืองของผม มันจะกลายเป็นอาชีพที่ผมถูกสาปหรือเปล่า เพราะผมเลิกไม่ได้ เพราะมันเหมือนเป็นอาชีพที่เติมเต็มในจิตใจ จิตวิญญาณของเราจริงๆ ผมเป็นนักดนตรีเป็นการเติมเต็มจิตวิญญาณของผมได้ดีมาก"
ถามว่า กลุุ่มชนชั้นนำจะมองว่ายุุบพรรคก้าวไกลยุบไปเลย จะได้ตัดสิทธิแกนนำแถวที่สอง สกัดศัตรูที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเขา พร้อมทั้งตัดสิทธิแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคด้วย แต่ "ปกรณ์วุฒิ" ตอบว่า "ล้มแล้วก็ลุกให้เร็ว ผมว่าถ้าลุกได้เร็ว มันจะเข้มแข็งมากขึ้น มันเหมือนคนเล่นเวท เวลาคุณจะเจออะไรหนักๆ มันเจ็บนะ แต่ทำให้กล้ามเนื้อคุณขึ้นอ่ะ มันทำให้วันรุ่งขึ้นคุณเข้มแข็งขึ้น คุณแข็งแกร่งขึ้นจริงๆ"
อภิปรายทั่วไปไม่ลงมติ เปิดสภาฯ ฟ้องประชาชน
วาระร้อนส่งท้ายสมัยประชุมรัฐสภา ปีที่ 1 ฝ่ายค้านนำโดย "พรรคก้าวไกล" จะทิ้งทวนผ่านการเปิดอภิปรายทั่วไป โดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 "ปกรณ์วุฒิ" ระบุว่า แม้เวทีดังกล่าวจะทำอะไรรัฐบาลไม่ได้ แต่เวทีนี้จะเป็นการชี้แจงให้กับประชาชนได้เห็นว่าตลอดเกือบ 1 ปีของรัฐบาลชุดนี้ ได้ทำอะไรล้มเหลวไปบ้าง และมีปัญหาอะไรที่ยังไม่ได้แก้ไขบ้าง ซึ่งมีหลายเรื่องที่ประชาชนอาจจะยังไม่รู้
"ถ้าเป็นกระแสสังคมขึ้นมา รัฐบาลจะมีการปรับเปลี่ยนวิธีการ การแก้ไขปัญหาให้เกิดขึ้นจริงให้ได้ แค่นั้นผมก็ว่ามันก็เป็นความสำเร็จแล้ว อาจจะไม่ต้องถึงกับปรับรัฐมนตรี มีก็ดี ถ้ารัฐมนตรีที่ทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพจริงๆ ก็ต้องปรับ มันเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าไม่มี ผมก็คิดว่ามันต้องมีการแก้ปัญหาบางอย่างที่ประชาชนเขาประสบอยู่จริงๆ"
ถามว่า ฝ่ายค้านยังไม่มีอาวุธเด็ดพอที่จะขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 "ประธานวิปฝายค้าน" ระบุว่า "มาตรฐานของพรรคก้าวไกล คือถ้าไม่ได้เป็นอาวุธที่ไม่ได้เป็นข้อมูลเชิงลึก แล้วเรารู้สึกว่าเอาผิดหรือชี้ให้เห็นได้อย่างแน่ชัดว่ารัฐมนตรีคนนี้ไม่เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอีกต่อไป ถ้าหลักฐานเบาหวิว พูดอะไรน้ำๆ ไม่ใช้ดีกว่า"
"ถ้าจะเปิดซักฟอกจริงๆ เราต้องมั่นใจว่าข้อมูลของเรามันเด็ดจริงๆ ดีจริงๆ" ปกรณ์วุฒิ ระบุ