เบื้องหลังร้าวลึก'ศึกขุนคลัง' ‘พิชัย’ VS ‘กฤษฎา’
ปฐมบทความขัดแย้ง “พิชัย” เคยมีแค้นเก่าที่ต้องชำระกับ “กฤษฎา” โดยต้องย้อนไปในช่วงที่ “กฤษฎา” นั่งเก้าอี้ปลัดกระทรวงการคลัง ส่วน“พิชัย” นั่งประธานบอร์ด บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
Key Point :
- ศึกร้าวกระทรวงการคลัง ระเบิดออกมาทันทีหลัง “กฤษฎา จีนะวิจารณะ” ยื่นหนังสือลาออก เหตุผลหลักมาจากการแบ่งให้ดูแล กรม-หน่วยงาน ไม่เป็นธรรม
- ทว่าชนวนขัดแย้งมาจาก "แค้นเก่า" ที่ต้องชำระระหว่าง "พิชัย ชุณหวชิร" กับ "กฤษฎา" สมัยรัฐบาล "ลุง" อดีตเบอร์หนึ่ง
- ว่ากันว่ามีการชี้เป้าให้ "กฤษฎา" ในช่วงนั้งปลัดคลัง ตั้งคณะกรรมการสอบปม "หุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่" ซึ่ง "พิชัย" นั่งประธานบอร์ด
- "พิชัย" ขอเคลียร์ปมปัญหากับ "กฤษฎา" แต่ฉากดีลกันไม่จบ
ปรากฎการณ์ป่วนยกสอง หลังปรับครม.“เศรษฐา 2” เมื่อ “กฤษฎา จีนะวิจารณะ” รมช.คลัง จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งเป็นรายที่สอง หลังจาก “ปานปรีย์ พหิทธานุกร” จากพรรคเพื่อไทย ทิ้งเก้าอี้ รมว.การต่างประเทศ เป็นรายแรก ในเวลาเพียงสัปดาห์เดียว
แม้จะยังไม่เห็นเหตุผลในหนังสือลาออกของ“กฤษฎา” แต่วงใน 2 พรรค ก็พูดตรงกันว่า เนื่องจาก รมช.กฤษฎา ไม่พอใจการแบ่งงานของรัฐมนตรีว่าการ “พิชัย ชุณหวชิร” สายตรงเพื่อไทย ที่ริบงานที่เคยกำกับดูแลในกระทรวงการคลังแทบไม่เหลืออะไรให้ทำ
จากเดิม ครม."เศรษฐา 1" ที่แม้ “กฤษฎา”จะมาจากพรรคร่วมรัฐบาล แต่ได้รับความไว้วางใจแบ่งงานสำคัญให้ทำ 3 กรม ประกอบด้วย กรมบัญชีกลาง กรมสรรพสามิต สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
และในส่วนรัฐวิสาหกิจ ประกอบด้วย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม องค์การสุรา การยาสูบแห่งประเทศไทย สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
เมื่อปรับ ครม.เศรษฐา 2 มีการเพิ่ม "เผ่าภูมิ โรจนสกุล" รมช.คลัง จากเพืี่อไทยเข้ามาอีกคน รวมเป็น 1 รมว.+3 รมช.
ส่งผลให้ “กฤษฎา” ถูกลดบทบาทจากการแบ่งงานอย่างชัดเจน โดยเหลืองานดูแลส่วนราชการเพียงกรมเดียว คือ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ส่วนรัฐวิสาหกิจ เหลือเพียงการยาสูบแห่งประเทศไทย สถาบันคุ้มครองเงินฝาก(สคฝ.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) และสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน(องค์การมหาชน)
เมื่อการแบ่งงานไม่เหลือ กรม-กอง-หน่วยงาน สำคัญให้รับผิดชอบ ระดับอดีต"ปลัดคลัง"เก่าอย่าง “กฤษฎา” จึงตัดสินใจเดินเกมแรงยื่นใบลาออกให้ รมว.คลังใหม่ป้ายแดงโดยตรงทันที
แม้เบื้องลึกเบื้องหลังการแบ่งงานใหม่ จะเป็นเรื่องสืบเนื่องมาตั้งแต่การเจรจาต่อรองโควตาระหว่างพรรคเพื่อไทย และรวมไทยสร้างชาติ ที่พรรคแกนนำต้องการรวบอำนาจกระทรวงคลังไว้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ยินยอม ปฏิบัติการตอบโต้จึงออกมาในรูปแบบริบอำนาจ รมช.ต่างพรรคแทน
จึงมองเป็นอื่นไม่ได้ว่า เป็นศึกระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล แต่ขณะเดียวกันก็ไม่อาจมองข้ามได้ ในเรื่องของความขัดแย้งตัวบุคคลระหว่างรัฐมนตรีใหม่ของค่ายแกนนำ กับรัฐมนตรีสุดเก๋า ที่รู้งานกระทรวงการคลังทุกอณู
จะว่าไปแล้ว ปฐมบทความขัดแย้งระหว่าง “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกฯ รมว.คลัง เคยมีแค้นเก่าที่ต้องชำระกับ “กฤษฎา”
ต้องย้อนไปในช่วงที่ “กฤษฎา” นั่งเก้าอี้ปลัดกระทรวงการคลัง ส่วน“พิชัย” นั่งประธานบอร์ด บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้เกิดความขัดแย้งกัน ว่าด้วยปม"หุ้นบางจาก"
เมื่อ“กฤษฎา”ได้ไฟเขียวจาก “ลุง”อดีตเบอร์หนึ่ง ให้ตั้งกรรมการสอบว่า มีปมพิรุธหรือไม่ โดยระหว่างนั้น “พิชัย-กฤษฎา” มีการพูดคุยเพื่อเคลียร์ปัญหานี้ แต่ฉากจบคือเดินกันคนละทาง
“กฤษฎา” ยืนยันต้องตั้งกรรมการสอบ ด้าน “พิชัย” ต่อสายไปยังไป “ลุง”อดีตเบอร์หนึ่ง เพื่อเคลียร์ใจ เคลียร์ปัญหาด้วยตัวเอง บทสรุปจึงจบที่ ลุงหายคาใจ จน“พิชัย”รอดพ้นข้อสงสัย
ทว่า แผลในใจระหว่าง“พิชัย” กับ “กฤษฎา”ที่เกิดขึ้นแล้ว ยากจะสมาน
เมื่อเส้นทางการเมืองมีอันต้องมาบรรจบพบกัน จากการปรับครม.ที่นายกฯเศรษฐา ดึง “พิชัย ชุณหวชิร” มานั่งรองนายกฯ ควบรมว.คลัง ซึ่ง“กฤษฎา”ก็ต้องลุ้นชะตากรรมของตัวเอง
ในช่วงการวางตำแหน่ง วางคน ในครม.เศรษฐา 2 มีการยื่นข้อเสนอให้ “กฤษฎา” ย้ายออกจากกระทรวงการคลัง เนื่องจาก “พิชัย” ไม่สะดวกร่วมงานด้วย เพราะไม่สะดวกใจ
โดยมีข้อเสนอให้ “กฤษฎา” โยกไปนั่ง รมช.พาณิชย์ หรือเลือกเก้าอี้ รมช. กระทรวงอื่นได้ โดยเน้นกระทรวงด้านเศรษฐกิจ แต่เจ้าตัวไม่ยอม ยืนยันจะนั่งเก้าอี้ รมช.คลัง และหากต้องย้ายกระทรวง จะขอไม่รับตำแหน่ง
ต่างจากเป้าหมายของ “พิชัย-เพื่อไทย” ที่ต้องการคุมกระทรวงการคลังเพียงพรรคเดียว ไม่แบ่งเค้กให้พรรคการเมือง แต่เสียงกร้าวของ “กฤษฎา” ที่มาพร้อมแบ๊คอัพชั้นดี จึงได้นั่งเก้าอี้ตัวเดิม
อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณเตือนมาก่อนแล้วว่า การยอมให้ “กฤษฎา” นั่งรมช.คลังต่อ เป็นเพียงการประณีประนอมเฉพาะหน้า เพราะ “พิชัย-เพื่อไทย” มีดาบอำนาจ ในการแบ่งงาน
และแล้วก็เป็นจริง เมื่อ“กฤษฎา” โดนริบหน่วยงานที่เคยดูแลเกือบหมดหน้าตัก จนมีเสียงบ่นจาก “บิ๊กเนม”รวมไทยสร้างชาติว่า “แบ่งงานได้น่าเกลียดมาก”
หลังจาก “กฤษฎา”กลืนเลือด ทิ้งลาออก ก็กลายเป็นเกมวัดใจ “บิ๊กเพื่อไทย” เพราะหากต้องปรับ ครม.ติดๆ กัน ย่อมส่งผลสะเทือนความเชื่อมั่น และภาพลักษณ์รัฐบาล เพราะกรณี “ปานปรีย์ พหิทธานุกร” ที่ลาออกจาก รมว.ต่างประเทศ ก็ยังแผลสดอยู่
ทำให้นายกฯ “เศรษฐา” ต้องอาสาเคลียร์ใจ ขอให้“กฤษฎา” ทบทวน โดยเสนอดีล เกลี่ยงานกันใหม่
วิธีเคลียร์ปัญหานี้ แม้“พิชัย”จะถือเป็นสายตรงนายกฯ แต่ก็ต้องวัดใจว่า จะยอมถอยให้หรือไม่ เพราะนั่นหมายถึงเครดิตการเมืองของตัวเองเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม คีย์แมนทั้งสองพรรค มองว่าปมขัดแย้งดังกล่าว แม้“กฤษฎา”จะเปลี่ยนใจอยู่ต่อ การทำงานร่วมกับทีมเพื่อไทย ทั้ง “พิชัย-จุลพันธ์-เผ่าภูมิ” ไม่มีทางราบรื่น ต่างคนอาจต่างซ่อนกล-ซ่อนเล็บ เพราะไม่มีความไว้วางใจหลงเหลืออีกแล้ว
ในอีกด้านของการทำงาน หาก“กฤษฎา”ไม่อยู่ บรรดา“บิ๊กข้าราชการ” ซึ่งส่วนใหญ่เติบโตมาจากช่วงที่เขานั่งปลัดกระทรวงการคลัง หากมองต่างกับฝ่ายการเมือง อาจถูกระแวงหรือไม่
ฉะนั้น ไม่ว่าศึกระหว่าง “พิชัย” VS “กฤษฎา” บทสรุปจะออกมาอย่างไร บรรยากาศการทำงานของฝ่ายการเมือง-ข้าราชการ ภายในกระทรวงการคลัง คงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป