หักดิบกัญชา-เขย่ามท. ‘พท.-ภท.’ในเกม 2 ผู้มากบารมี
หักดิบกัญชา-เขย่ามหาดไทย เกมวัดพลัง "เพื่อไทย-ภูมิใจไทย" ไม่แตกหัก แต่ไม่เหมือนเดิม จับตาจังหวะเปิดเกมรุก-ปรับเกมรับ “2ผู้มากบารมี”
KEY
POINTS
- “เพื่อไทย” และ “ภูมิใจไทย” เกมวัดพลังกัญชา จาก "ปลดล็อก" สู่ "หักดิบ"
- "กระทรวงคลองหลอด" เกมเขย่าดุลอำนาจ "3สิงห์น้ำเงิน-1สิงห์แดง"
- จังหวะเปิดเกมรุก-ปรับเกมรับ “2ผู้มากบารมี” ต่างฝ่ายต่างอ่านทางกันได้เป็นอย่างดี
เข้าสู่วงรอบ 8 เดือนรัฐบาลเศรษฐา แม้เบื้องหน้าบรรดา “บิ๊กเนมพรรคร่วมรัฐบาล” ต่างฝ่ายต่างประสานเสียงในทำนองเดียวกัน “315 เสียง” พรรคร่วมรัฐบาลยังเหนียวแน่น ไร้สัญญาณแตกหัก
ทว่า เบื้องลึกจริงๆ ยังมีคลื่นใต้น้ำอีกหลายลูกที่รอก่อตัว โดยเฉพาะจังหวะขบเหลี่ยมระหว่าง “พรรคอันดับหนึ่ง”และ“พรรคอันดับสอง”ในขั้วรัฐบาลนั่นคือ “พรรคเพื่อไทย” และ “ภูมิใจไทย”
ทั้ง “ศึกวัดพลังกัญชา” หลัง “เศรษฐา ทวีสิน”นายกรัฐมนตรี มอบนโยบายกลางวงประชุมหารือการแก้ไขปัญหายาเสพติด ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 8 พ.ค.ที่ผ่านมา ให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งแก้ไขประกาศกระทรวง เพื่อให้กัญชากลับเป็นยาเสพติด ประ เภท 5 แถมขีดเส้นต้องเสร็จภายในสิ้นปีนี้
ทำเอา “อนุทิน ชาญวีรกูล”รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยซึ่งเป็นต้นเรื่องปลดล็อกกัญชาในรัฐบาลที่แล้ว ต้องตกอยู่ภาวะจำยอม เนื่องจากไม่ได้กำกับดูแลกระทรวงสาธารณสุข
คำยืนยันจากฟากฝั่งรัฐบาล แม้จะบอกว่า ถึงที่สุดบทสรุปเรื่องนี้เป็นอย่างไร ก็พร้อมจะยอมรับ แต่หลายวันที่ผ่านมา กลับปรากฎวิวาทะระหว่าง “บิ๊กเนมพรรคร่วมรัฐบาล” ตอบโต้กันไปมา
ไม่ว่าจะเป็น “สมศักดิ์ เทพสุทิน” เจ้ากระทรวงสาธารณสุข ที่เจอเกมขุด ไล่ไปในสมัยเป็น รมว.ยุติธรรม ในรัฐบาลประยุทธ์ แถมหนุน“ปลดล็อกกัญชา” จนต้องออกมาแก้เกี้ยวว่า เป็นการรักษามารยาทในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล และเวลานี้ผ่านไป 4 ปี มีข้อมูลใหม่ก็ต้องพิจารณาใหม่
ไม่ต่างจาก “อนุทิน” ที่ออกมาสวนทันควัน “รักษามารยาท แต่ก็ต้องรักษากฎหมาย และประโยชน์ของประชาชน”
ก่อนหน้านี้ “อนุทิน” ยังย้ำชัด ส่งสัญญาณไปถึงพรรคการเมืองอื่น ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นว่าควรนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด ก็แล้วแต่นโยบายของพรรคการเมืองอื่น แต่ไม่ใช่นโยบายของพรรคภูมิใจไทย
ไม่ต่างจากอีกหนึ่งเกมวัดพลัง นั่นคือ“บัญชีโยกย้าย-สลับสับเปลี่ยน”เก้าอี้ในครม.เศรษฐา 2
จริงอยู่ แม้ในรายกระทรวงไม่ได้กระเพื่อมไปถึงพรรคลำดับสอง อย่างภูมิใจไทย แต่เมื่อไล่ลงลึกไปในรายกรม อาจสะท้อนเกมวัดพลังอยู่ลึกๆ
อย่างล่าสุด กรณีการลาออกจากสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ของ “มนัญญา ไทยเศรษฐ์” น้องสาว“ชาดา ไทยเศรษฐ์” รมช.มหาดไทย
โดย “ชาดา” ยอมรับว่า มนัญญาได้ยื่นใบลาออกจากสมาชิกพรรคภูมิใจไทยตั้งแต่เดือนก.พ. ส่วนสาเหตุการลาออกเนื่องจากตั้งใจจะไปเป็นผู้ทรงคุณวุฒิของกรมพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย
ปรากฏว่าได้มอบหมายกรมพัฒนาชุมชนให้“เกรียง กัลป์ตินันท์” รมช.มหาดไทย เป็นผู้ดูแล เราจึงต้องถอยออกมา
ย้อนกลับไปใน ครม.เศรษฐา 1 “เกรียง” เป็นรัฐมนตรีในโควตาพรรคเพื่อไทยหนึ่งเดียว ที่ได้รับมอบหมายให้คุม 1 กรม คือกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.)
ดูเผินๆ กรมปภ.เหมือนจะอยู่ในกลุ่มหน่วยงานเกรดเอ แต่เอาเข้าจริง โอกาสในการขับเคลื่อนสร้างผลงาน แทบไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แถม “เกรียง”ยังถูกจัดอยู่ในกลุ่มรัฐมนตรีโลกลืมอีกต่างหาก
เพราะอย่างที่รู้กัน “มท.เกรียง” ที่กำกับดูแลปภ.และอธิบดีปภ. คือ “ไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์” มาจากคนละสายคนละพรรค
โดย “อธิบดีไชยวัฒน์ ” ถือเป็นสายตรง“บ้านใหญ่บุรีรัมย์” ชีวิตราชการเติบโตในพื้นที่อีสานใต้ ตำแหน่งก่อนหน้า เคยเป็นรองผู้ว่าฯบุรีรัมย์ และขยับขึ้นผู้ว่าฯบุรีรัมย์
ที่สำคัญ ยังถูกจัดอยู่ในข่าย มีโอกาสที่จะได้ผงาดสู่ “สิงห์คลองหลอด” แทน“สุทธิพงษ์ จุลเจริญ”ปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่จะเกษียณอายุราชการในเดือน ก.ย.ปีนี้
โดย“ไชยวัฒน์” ต้องเบียดกับอีกหนึ่งตัวเต็ง “ขจร ศรีชวโนทัย”อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เพื่อนร่วมรุ่น วปอ.ของ“อนุทิน”
น่าสนใจว่า คำยืนยันจากฟากฝั่งพรรคสีน้ำเงิน ยอมรับว่า“มนัญญา”ลาออกจากสมาชิกพรรคไปตั้งแต่เดือน ก.พ.
แต่กลับเพิ่งมีข่าวในช่วงนี้ เสมือนเป็นความ“จงใจปล่อยข่าว” กระทบชิ่งไปถึงปฏิบัติการยึดคืนกรมพัฒนาชุมชน ในห้วงเพิ่งผ่านพ้นการฟอร์มทีม ครม.เศรษฐา 2
ไม่ต่างจากชื่อของ “เกรียง” ที่ปรากฎภาพต้อนรับ “นายใหญ่” ระหว่างลงพื้นที่ แถมเข้าวินด้วยอภินิหาร “นายหญิง” ในนาทีสุดท้าย ก่อนเคาะโผ และยังได้อัพเกรด ดูกรมใหม่ ที่มี “อธิบดีเก๋า” สยาม ศิริมงคล เป็นอธิบดีกรมพัฒนาชุมชน
ในส่วนของ “อธิบดีเก๋า” หรือ “ผู้ว่าฯเก๋า” อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นที่รู้จักในฐานะผู้ว่าฯที่อายุน้อยที่สุด
แถมมากด้วยคอนเนกชั่น หลากหลายกลุ่มหลายขั้วการเมือง ไม่เว้นแม้แต่พรรคเพื่อไทยตั้งแต่ยุคไทยรักไทย พลังประชาชน
หากมองในเชิงการเมืองแน่นอนว่า การเขย่าดุลอำนาจสลับสับเปลี่ยนกรมกองของ "3สิงห์น้ำเงิน-1สิงห์แดง" ในกระทรวงคลองหลอด ย่อมหวังผลในแง่ต่อยอดทางการเมืองได้อีกด้วย
จับสัญญาณพรรคร่วมรัฐบาลเวลานี้ แม้จะยังไม่ถึงขั้นเปิดศึก ลามไปถึงขั้น“แตกหัก”ในเร็ววันนี้ แต่ก็ใช่ว่าคลื่นลมการเมืองจะสงบอย่างที่คิด เพราะยังมีแรงกระเพื่อมเขย่ารัฐบาลอยู่เป็นระยะ!
ไม่ต่างจากจังหวะเปิดเกมรุก-ปรับเกมรับ “2ผู้มากบารมี” ต่างฝ่ายต่างอ่านทางกันได้เป็นอย่างดี