เบื้องหลัง ตัดตอน ‘พิชิต’ (อาจไม่) เซฟ ‘เศรษฐา’

เบื้องหลัง ตัดตอน ‘พิชิต’  (อาจไม่) เซฟ ‘เศรษฐา’

ตัดตอน‘พิชิต’อาจไม่เซฟ‘เศรษฐา’ นายกฯ ยังลุ้นศาล รธน.23 พ.ค. ในฐานะผู้ถูกร้องคนที่ 1 รัฐมนตรี 3 คน ไขก๊อกภายใน 1 เดือน กระทบภาพลักษณ์รัฐบาล

KEY POINTS :

  • เบื้องหลัง "พิชิต ชื่นบาน" ลาออกจากตำแหน่ง รมต.ประจำสำนักนายกฯ มีแรงกดดันจากทั่วสารทิศ เพราะต้องการเซฟ "เศรษฐา" ไม่ให้อยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยง
  • ฉากหน้ามี "คนใกล้ชิด" ของ "นายหญิงพลัดถิ่น" ควบคุมการแสดงถึงห้องทำงาน "พิชิต" บนตึกไทยคู่ฟ้า ฉากหลังมีสายตรงจาก "บิ๊กเนม" ร่วมเคลียร์เกม
  • บทสรุป "พิชิต" ลาออก แม้จะคลายล็อกเปิดช่องให้ "ศาลรัฐธรรมนูญ" มีโอกาสไม่รับคำร้อง แต่ในทางการเมืองไม่มีอะไรแน่นอน กลเกมสลับขาหลอกมีให้เห็นมาหลายครั้ง

24 วันในตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของ “พิชิต ชื่นบาน” จบลงหลังจากยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่ง ส่งตรงถึง “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี 

บ่วงกรรมของ “พิชิต” มาจากคดีถุงขนม 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นเหตุผลทำให้ “กลุ่ม 40 สว.” ยื่นให้ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ตีความคุณสมบัติจากปมจริยธรรม

แม้ “เศรษฐา-พิชิต” จะพยายามพิงหลังด้วยความเห็นของ"คณะกรรมการกฤษฎีกา” กรณีคดีทางอาญาพ้นโทษเกิน 10 ปี สามารถดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้ แต่ความเห็นจาก“กฤษฎีกา” ที่พิชิตให้สำนักเลขาฯ ครม.เจาะจงถามเรื่องคุณสมบัติการพ้นโทษ เป็นคนละประเด็นกับคำร้องของ “40 สว.”ที่ฟ้องศาลรัฐธรรมนูญเรื่องจริยธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต

เมื่อบ่วงกรรมของ “พิชิต” อาจจะกระทบต่อเก้าอี้นายกฯของ “เศรษฐา” ทางออกของ “นายใหญ่-นายหญิง” จึงจำเป็นต้องตัดเนื้อร้ายทิ้ง เพื่อประคองให้ “รัฐบาลเพื่อไทย” ได้เดินหน้าต่อ

“พิชิต” ระบุในหนังสือลาออก ใจความสำคัญว่า "เมื่อมีการยื่นคำร้องเกี่ยวกับข้าพเจ้า ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าได้ตรวจสอบ และเชื่อมั่นโดยสุจริตว่า ข้าพเจ้ามีคุณสมบัติครบถ้วนตามกฏหมายทุกประการก็ตาม แต่เรื่องนี้ได้มีการพาดพิงไปถึงท่านนายกรัฐมนตรี หัวหน้าผู้บริหารราชการแผ่นดินต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ และไม่กระทบต่อการบริหารราชการแผ่นดินของนายกรัฐมนตรี ที่มีความจำเป็นต้องเดินหน้าด้วยความต่อเนื่อง ข้าพเจ้าจึงไม่ยึดติดกับตำแหน่ง..."

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจลาออกของพิชิต มีกระแสข่าวว่าระหว่างวันที่ 20-21 พ.ค. มีแรงกดดันจาก “เบอร์หนึ่งตึกไทยคู่ฟ้า” ส่งสัญญาณเพื่อตัดตอนทางคดี ไม่ให้ “ศาลรัฐธรรมนูญ” รับคำร้องในวันที่ 23 พ.ค. โดยหวังว่าจะเป็นทางรอดทางแทคติก

โดยในช่วงค่ำวันที่ 20 พ.ค. “รัฐมนตรี” ระดับบิ๊กเนมของพรรคเพื่อไทย ต่อสายถึง “บิ๊กเนมขั้วอำนาจเก่า” เช็คสัญญาณว่าจะมีแนวโน้มออกมาในทางใดบ้าง 

ว่ากันว่า “รัฐมนตรี” ระดับบิ๊กเนม ก็กดดันให้ “พิชิต” ลาออกด้วยเช่นกัน เพื่อไม่ให้กระทบต่อสถานะของรัฐบาล

กระทั่งช่วงเช้าวันอังคาร 21 พ.ค. “พิชิต” มั่นใจว่าเช็คสัญญาณมาชัวร์แล้ว ว่ามีโอกาสที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” จะไม่รับคำร้อง และเชื่อว่าตามรูปเกมทางกฎหมาย ตนเองมีคำอธิบายทุกประเด็น และมั่นใจว่าสามารถยืนหยัดต่อสู้ทางแทคติกได้ จึงได้เข้าร่วมประชุม ครม.ตามปกติ

เบื้องหลัง ตัดตอน ‘พิชิต’  (อาจไม่) เซฟ ‘เศรษฐา’

ทว่า ช่วงเที่ยงวันเดียวกัน เริ่มมีแรงกดดันให้ “พิชิต” ลาออกหนักขึ้น โดยมี “นายหญิงพลัดถิ่น” เข้ามาผสมโรง ช่วย“เบอร์หนึ่งตึกไทยคู่ฟ้า” ส่งสัญญาณแรงๆ ให้ยอมถอย

ต่อมาช่วงบ่าย “คนสนิท” ของ “นายหญิงพลัดถิ่น” เดินขึ้นตึกบัญชาการ โดยมีเป้าหมายอยู่ห้องทำงานของ “พิชิต” พร้อมรับสาร มาส่งต่อเรื่องกระบวนการลาออกอีกแรง พร้อมทั้งช่วยดำเนินการสื่อสารกับสาธารณะ

หลังจาก “คนสนิท” ของ “นายหญิงพลัดถิ่น” เข้าพบไม่กี่นาที หนังสือลาออกของ “พิชิต” ได้ถูกส่งเข้ามาในไลน์กลุ่มนกกระจอก หรือกลุ่มผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ก่อนที่ “คนสนิท”จะเดินลงจากตึกบัญชาการพร้อมกับ “พิชิต”

 ปฏิบัติการกดดัน “พิชิต” ทั้ง “เบอร์หนึ่งตึกไทยคู่ฟ้า-นายใหญ่-นายหญิงพลัดถิ่น” เป็นการเลือกสละเรือ เพื่อรักษาขุนเอาไว้ เนื่องจากไม่ต้องการให้ สถานะนายกฯของ“เศรษฐา” อยู่ในสภาวะสุ่มเสี่ยง เพราะหาก“เศรษฐา”ต้องขึ้นเขียงพ่วงไปด้วย ย่อมสะเทือนถึงเสถียรภาพรัฐบาล และอำนาจทางการเมือง

อย่าลืมว่าภารกิจหลักของหลายคนใน “รัฐบาลเศรษฐา” ยังมีโจทย์สำคัญที่จะต้องดำเนินการ โดยเฉพาะการอำนวยความสะดวกให้อดีตนายกฯ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกฯ กลับไทย

หากสถานะของ “รัฐบาลเศรษฐา” ตกอยู่ในความเสี่ยง ฝันของ “ยิ่งลักษณ์” อาจจะมลายหายไป ฉะนั้นการรักษาขุนเอาไว้จึงจำเป็นกว่าเก็บเรือเอาไว้ใช้งาน

ขณะเดียวกัน เกมการเมืองล้มกระดานนายกฯ ของ “ลุงบ้านป่า” ก็ประมาทไม่ได้ เมื่อมีสัญญาณรุกอีกรอบ ทั้งเข้มข้น ขยายวงกว้างขวางอย่างรุนแรง โดยบรรดา“ขุนพลบ้านป่า” เดินเกมเร็ว-วางเกมแรง หวังปั้นฝันให้ “นาย” สมหวัง 

ดังนั้น ชอตแรก ต้องกำจัด “เศรษฐา” ออกจากนายกฯ ชอตสอง เปิดดีลการเมืองรวบรวมเสียงจัดตั้งรัฐบาล 

และต้องไม่ลืมว่า ระหว่างนี้ “ศาลรัฐธรรมนูญ” อยู่ระหว่างการพิจารณายุบ “พรรคก้าวไกล” หากยุบจริง สส.สีส้ม ต้องหาพรรคสังกัด มีโอกาสที่วอร์รูมบ้านป่าจะเปิดอีกครั้ง

นอกจากนี้ เบื้องหลัง 40 สว.ยังมีมือที่มองไม่เห็น ที่คอยดึง การเดินเลยธง“ดีล”เอาไว้ ซึ่งยังประเมินไม่ได้ว่า เป้าหมายปลายทางของผู้มีอำนาจเบื้องหลัง จะไปถึงขั้นไหน 

 สัญญาณเตือนเลยเส้นอันตราย “นายใหญ่-นายหญิง-องคาพยพ” จึงไม่ยอมถูกบีบให้เดินเข้าสู่เกมเสี่ยง ฉะนั้นการตัดตอน ปิดเกมด้วยสั่งให้ “พิชิต”ลาออก จึงเป็นหมากบังคับ 

 ทว่า ในมุมของ 40 สว. “พิชิต” เป็นเพียงเป้าที่สอง แม้จะถูกตัดตอน แต่เป้าหลักคือ นายกฯ เศรษฐา ที่เป็น“ผู้ถูกร้องคนที่ 1” ยังไม่พ้นจากคดีนี้ ซึ่งต้องลุ้นว่า 23 พ.ค.ศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องไว้พิจารณาหรือไม่ 

“ทักษิณ” เคยลั่นวาจาว่า “ความกลัวทำให้เสื่อม” แต่บทเรียนที่ไม่กลัว ทำให้แพ้มาแล้ว

การลาออกของ “พิชิต” อาจจะทำให้รัฐบาลได้ไปต่อ แต่การลาออกของ “รัฐมนตรี” 3 คน ภายในระยะเวลาไม่ถึงเดือน ปฏิเสธไม่ได้ว่า ส่งผลต่อภาพลักษณ์การบริหารจัดการของนายกฯเศรษฐา และความเชื่อมั่นของรัฐบาลเพื่อไทยไม่น้อยเช่นกัน