ปลดล็อก ‘การเมือง ปชป.’ ‘เฉลิมชัย’ ครบเทอม ?
จับสัญญาณ "ค่ายพระแม่ธรณี" ปลด “เดดล็อก” รีเซ็ตเลือกหัวหน้า-กรรมการบริหารพรรค เปิดประตูสู่เส้นทางการเมือง จับตา“ขยับฉากสีฟ้า”
KEY
POINTS
- ถอดรหัสเวิร์ดดิ้ง “ผู้นำค่ายสีฟ้า” แก้ไข “ข้อบังคับพรรค” เพื่อเปิดประตูสู่เส้นทางการเมือง สัญญาณ“ขยับฉากสีฟ้า”
- จับตาปลด “เดดล็อก” รีเซ็ตเลือกหัวหน้า-กรรมการบริหารพรรค
- จริงอยู่ “เฉลิมชัย” ที่ถือเป็น “ท่อน้ำเลี้ยง” คนสำคัญของพรรค แต่หากจะสู้การเมืองระยะยาว ถึงเวลาจริงอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนแผน พลิกแพลงไปตามสถานการณ์ โดยเฉพาะการ “เข้าสู่อำนาจ” และการชิงแต้มต่อทางการเมืองหลังจากนี้
สัญญาณปลดล็อก“ค่ายพระแม่ธรณี” ผ่านวลี “เสี่ยต่อ”เฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระหว่างลงพื้นที่พร้อมคณะกรรมการบริหารพรรค และ สส.พรรค ที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมา
ถอดเวิร์ดดิ้งสำคัญของ “ผู้นำค่ายสีฟ้า” อยู่ที่การแก้ไข “ข้อบังคับพรรค” เพื่อเปิดประตูสู่เส้นทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ โดยใช้จังหวัดปัตตานี เป็นพื้นที่แห่งแรก เพื่อสร้างรัฐมนตรีของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ได้
นับจนถึงเวลานี้ ร่วม 5 เดือนแห่งการขึ้นแท่นผู้นำพรรคคนที่ 9 ของ “เฉลิมชัย” ซึ่งถูกจับตามาโดยตลอด ถึงบทบาทการทำหน้าที่ในสภาฯ ในฐานะหนึ่งในพรรคร่วมฝ่ายค้าน ไม่ต่างจากสูตรขยับหมาก เปลี่ยนดีล ที่ถูกปล่อยออกมาเป็นระยะ
ท่ามกลางคำถามประชาธิปัตย์ จะดำเนินต่อไปในทิศทางใด?
ย้อนกลับไปเมื่อเร็วๆ นี้ ในการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 ของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 27 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่ประชุมเห็นชอบการปรับแก้ในข้อบังคับพรรคประชาธิปัตย์ หลักใหญ่ใจความสำคัญอยู่ที่ การได้มาซึ่ง “หัวหน้าพรรค” และ “กรรมการบริหาร” ในอนาคต
ประเด็นแรก คือ“เดดล็อก” ที่ต้องเป็นสมาชิกพรรคไม่น้อยกว่า 5 ปี มีการเสนอปรับลดจาก 5 ปี เหลือ 2 ปี
ประเด็นการใช้เสียง “ยกเว้น” ข้อบังคับพรรค จากที่เดิมเคยกำหนดสัดส่วนไว้“3 ใน 4”ขององค์ประชุมใหญ่ แก้ไขเป็น “มากกว่ากึ่งหนึ่ง”
ไม่ต่างจากสัดส่วนการให้ “คะแนนโหวต”เลือกหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหาร จากเดิมใช้สูตร “70 : 30” คือ เสียงสส.70% รวมกับคณะกรรมการอื่นๆ ทั้งหมดอีก 30% แก้ไขเป็นสูตร “40 : 20 : 40” คือ สส. 40% กรรมการบริหารพรรค 20% และจากองค์ประชุมทั่วไป 40% ร่วมให้ความเห็นชอบ
ประเด็นสุดท้าย น่าสนใจว่า ในการชิงหัวหน้าพรรคครั้งต่อไป หากฝ่ายไหนรวบรวมเสียงได้มาก โดยเฉพาะในส่วน 40% หลัง ส่วนใหญ่จะมีทั้งสมาชิก และสาขาพรรคทั่วประเทศ 40% ก็อาจมีลุ้นนั่งหัวหน้าพรรคได้ง่ายกว่าเดิม ส่วนที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับว่าจะมีเสียง สส.และกรรมการบริหารพรรคอยู่ในมือมากน้อยเพียงใด
ยิ่งไปกว่านั้น ต้องจับตาสัญญาณจากค่ายพระแม่ธรณีเป็นระยะ ย้อนกลับไปในช่วงปรับ ครม.เศรษฐา ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่มีการปล่อยสูตรดึง ปชป.เสียบรัฐบาล
ช่วงนั้นมีการปล่อยข่าวในทำนองว่า ค่ายพระแม่ธรณีอาจมีการเปลี่ยนตัว “ผู้นำพรรค” โดย “เสี่ยต่อ เฉลิมชัย” อาจลาออกเพื่อเปิดทางให้ “ดร.เอ้” สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรค คุมกทม. ขยับขึ้นเป็น “หัวหน้าพรรค” เพื่อสร้างภาพลักษณ์นักการเมืองรุ่นใหม่ รวมถึงเตรียมความพร้อมในการขึ้นแท่นรัฐมนตรี หากสัญญาณเปลี่ยนขั้วมาถึง
คำยืนยันจาก“ค่ายพระแม่ธรณี” เฉลิมชัย จะเป็นหัวหน้าพรรคครบเทอม 4 ปี เพื่ออยู่รักษาบารมี และเพื่อรักษาพรรคไว้ให้เป็นปึกแผ่น
ส่วนกระแสเปลี่ยนตัวดร.เอ้ เป็นผู้นำพรรคหรือในอนาคตอาจเป็นคนอื่นนั้น ค่อยปรับในช่วงใกล้เลือกตั้งก็ยังทัน พูดภาษาชาวบ้าน ก็คือ “มาเร็ว ช้ำเร็ว”
แต่น่าสนใจว่า เวิร์ดดิ้งสำคัญที่“เฉลิมชัย” ระบุว่า การแก้ข้อบังคับเพื่อ“เปิดประตู”สู่ “เส้นทางการเมือง”ของพรรคประชาธิปัตย์ แถมสร้าง“รัฐมนตรี”ของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเป็นการส่งสัญญาณไปถึงการ“ขยับฉากสีฟ้า”หลังจากนี้หรือไม่อย่างไร
อย่างที่รู้กัน การทำการเมืองย่อมมีต้นทุน มีราคาค่างวดที่ต้องจ่าย จริงอยู่ “เฉลิมชัย” ที่ถือเป็น “ท่อน้ำเลี้ยง” คนสำคัญของพรรค แต่หากจะสู้การเมืองระยะยาว ถึงเวลาจริงอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนแผน พลิกแพลงไปตามสถานการณ์
โดยเฉพาะการ “เข้าสู่อำนาจ” หรือการชิงแต้มต่อทางการเมืองหลังจากนี้ ทั้ง "กระแส" และ "กระสุน" ล้วนมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน
เวลานี้ คีย์แมนพรรคย้ำนักย้ำหนา โชว์บทบาทการทำหน้าที่ฝ่ายค้านในสภาฯ แต่ทางการเมืองโอกาสพลิกสูตรสลับขั้วในอนาคต ก็ยังตัดทิ้งไม่ได้เช่นกัน
นัยจาก“ผู้นำค่ายพระแม่ธรณี” ส่งสัญญาณปลดล็อกสู่ “เส้นทางการเมืองสีฟ้า”จะเกิดขึ้นในรูปแบบใดหลังจากนี้ ต้องติดตาม!