'ปลัดฉิ่ง' หน้าม่านการเมือง มือเคลียร์ คู่กาย เศรษฐา ?

'ปลัดฉิ่ง' หน้าม่านการเมือง  มือเคลียร์ คู่กาย เศรษฐา ?

“ฉัตรชัย” ที่ชีวิตราชการเติบโตมาในยุคชินวัตร และเป็นใหญ่ในยุคคสช. ต่อจากนี้ ทุกอย่างก้าวย่อมถูกจับจ้องว่า จะมีบทบาทอย่างไรใน “รัฐบาลเศรษฐา” โดยเฉพาะตำแหน่ง “ประธาน ป.ป.ง.” ที่สามารถให้คุณ-ให้โทษ ในคดีความใหญ่ๆได้

KEY POINTS : 

  • "ปลัด ฉิ่ง" เข้ามามีบทบาทหน้าฉากการเมืองอีกครั้ง หลัง "นายกฯ เศรษฐา" แต่งตั้งให้ประธานกรรมการตรวจสอบปมขัดแย้ง "บิ๊กต่อ-บิ๊กโจ๊ก"
  • ย้อนอดีตของ "ปลัด ฉิ่ง" เติบโตในยุครัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก่อนจะเป็นใหญ่ยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จนมีกระแสข่าวตั้งพรรคสำรองให้ "บิ๊กตู่-บิ๊กป๊อก" ก่อนจะพับแผนไป
  • "ปลัด ฉิ่ง" ปรากฎกายข้างกาย "นายกฯ เศรษฐา" ทั้งหน้าฉาก-หลังฉาก ว่ากันว่าสไตล์การทำงานของอดีตปลัดมักจะถูกใจ "นาย"

ชื่อของ “ฉัตรชัย พรหมเลิศ” หรืออดีต“ปลัดฉิ่ง” แห่งมหาดไทย กลับมาอยู่ในสปอตไลท์การเมืองอีกครา เมื่อ นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน แต่งตั้งเป็นหัวขบวนเคลียร์ปัญหา 2 บิ๊กตำรวจ ทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีปรากฏเป็นข่าวต่อสาธารณะเกี่ยวกับความขัดแย้งในเรื่องคดีของบุคลากรภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

เมื่อผลการสอบสวนที่ออกมา “บิ๊กต่อ”พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ได้หวนคืนเก้าอี้ ผบ.ตร. ส่วนคู่กรณี “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ซึ่งถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ต้องรอคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) ตรวจสอบคำสั่งให้ออกจากราชการของ “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผบ.ตร. ในฐานะรักษาการ ผบ.ตร. ว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

3 เดือนในการตรวจสอบเรื่องนี้ และข้อสรุปที่ออกมา ได้ถูกตั้งคำถามจากสังคม ทำนองว่าเป็น “มวยล้มต้มคนดู” หรือไม่ 

เนื่องจากไม่มีความชัดเจนในทางคดีของคู่กรณี จนถูกมองว่า เป็นปฏิบัติการซูเอี๋ย เพื่อไม่ให้เกิดการฟ้องร้องบานปลาย จนลามมากระทบความมั่นคงของ “รัฐบาลเศรษฐา”

โดยเฉพาะกระบวนการให้ “บิ๊กโจ๊ก” ออกราชการไว้ก่อน ที่คณะกรรมการกฤษฎีกาตั้งข้อสังเกต สุ่มเสี่ยงกับตัวนายกฯเศรษฐาโดยเฉพาะขั้นตอนรวบรัด และไม่นำความขึ้นทูลเกล้าฯเสียก่อน

อย่างไรก็ตาม ข้อกังขาต่อการทำงานของ “ทีมตรวจสอบ” ที่มี“ฉัตรชัย”เป็นประธานกรรมการ แม้จะมีกรรมการคนสำคัญอีก 2 คน ชาติพงษ์ จีระพันธุ อดีตรองอัยการสูงสุด และพล.ต.อ.วินัย ทองสอง อดีตรองผบ.ตร. แต่กลับถูกพุ่งเป้าไปยังประธาน เพราะเป็นผู้รวบรวมข้อมูลส่งให้ “เศรษฐา” ตัดสินใจคืนตำแหน่ง ผบ.ตร. ให้ “บิ๊กต่อ” และมีแนวโน้มสูงที่จะคืนตำแหน่งรอง ผบ.ตร. ให้กับ “บิ๊กโจ๊ก” ตามมา

จากอดีตปลัดฉิ่ง หลังเกษียณก็ตกเป็นข่าวเตรียมเข้าสู่สนามการเมือง จนราศรีจับ ยกระดับเป็น“บิ๊กฉิ่ง” แต่เรื่องก็เงียบหายไป ขณะที่เจ้าตัวก็ยังวนเวียนอยู่กับบรรดานักเลือกตั้ง นักธุรกิจการเมือง อย่างใกล้ชิด 

กระทั่งมาปรากฎตัวเดินตามนายกฯเศรษฐาทั้งใน-นอกทำเนียบฯ แม้แต่ในต่างประเทศ โดยไม่มีใครรู้ว่า “ฉัตรชัย”มีตำแหน่งหน้าที่ใด กระทั่งถูกแต่งตั้งเป็นประธานตรวจสอบกรณีบิ๊กต่อ-บิ๊กโจ๊ก
 

เมื่อย้อนเส้นทาง “ฉัตรชัย” ที่เริ่มรับราชการมาตั้งแต่ปี 2527 ตำแหน่งปลัดอำเภอ ก่อนเติบโตในหน้าที่การงานจนขึ้นมานั่งอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยปี 2555 ในยุครัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”

หลังการรัฐประหาร 2557 ชื่อของ “ฉัตรชัย” ถูกคาดหมายว่าอาจจะไปไม่ถึงฝันเก้าอี้ปลัดมหาดไทย เพราะถูกจัดอยู่ในสาย “ชินวัตร” แต่ด้วยอุปนิสัยเข้ากับผู้ใหญ่ได้ง่าย งานที่ได้รับมอบหมายไม่เคยขาดตกบกพร่อง แถมพ่วงออปชั่นทำเกินคำสั่ง แต่ผลลัพธ์อยู่ในเชิงบวก 

ทำให้ยี่ห้อ “ฉัตรชัย” ถูกใจ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต รมว.มหาดไทย ไฟเขียวให้นั่งเก้าอี้“ปลัด กระทรวงมหาดไทย” สมใจหวัง แถมยังอยู่ในตำแหน่งนาน 4 ปี ตั้งแต่ 2560 – 2564 

โดยตลอดระยะเวลา 4 ปี ทุกครั้งที่ “อนุพงษ์” ออกงานจะต้องมี “ฉัตรชัย” ปรากฎตัวข้างกายเสมอ

ในขณะดำรงตำแหน่งปลัด มท. บารมีของ “ฉัตรชัย” เบ่งบานอย่างมาก ด้วยความเป็นมิสเตอร์โอเค ทำให้ “บิ๊กการเมือง-นักการเมือง” เรียกใช้บริการอย่างสม่ำเสมอ

ก่อนเกษียณจากตำแหน่งเริ่มมีกระแสข่าวออกมาตลอดว่า “ฉัตรชัย” เตรียมตั้งพรรคการเมือง เพื่อเป็นฐานที่มั่นใหม่ให้กับ “บิ๊กตู่-บิ๊กป๊อก” เนื่องจากในช่วงนั้น “ประวิตร-ทีมพลังประชารัฐ” ผนึกกำลังหวังโค่น “บิ๊กตู่” ให้พ้นจากตำแหน่งนายกฯ

หากยังจำกันได้ “ฉัตรชัย” เดินบนดิน-ใต้ดิน คอยทาบทาม สส. ค่ายสีแดง มาร่วมกันตั้งพรรคใหม่ ครั้งหนึ่งเคยโผล่ไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดมารดาของ “เสี่ยโจ้” ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร อดีต สส.มหาสารคาม 

แม้ “ฉัตรชัย-ยุทธพงศ์” จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาก่อน ด้วยคอนเนกชั่น นิสิตจุฬาฯ แต่การปรากฏตัวของ “ฉัตรชัย” กลางงานเลี้ยงดังกล่าว ถูกเชื่อมโยงกับการตั้งพรรคใหม่ เนื่องจาก “ยุทธพงศ์” แม้จะติดยี่ห้อพรรคเพื่อไทย แต่ช่วงนั้นพอมีขุมกำลังของตัวเอง

ทว่า พรรคใหม่ของ “ฉัตรชัย” ไปไม่ถึงฝั่ง เพราะไม่สามารถผลักดัน “เพื่อนเลิฟ” อย่าง “จตุพร บุรุษพัฒน์” ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ข้ามห้วยมานั่งเก้าอี้ปลัด มท.ได้ แผนตั้งพรรคการเมืองของ “ฉัตรชัย” จึงต้องพับไป

หลังจากนั้นชื่อ “ฉัตรชัย” ค่อยเลือนหายไปจากเรดาร์การเมือง จนกระทั่งปีที่แล้ว
เจ้าตัวกลับมาผงาดอีกครั้ง

ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2566 ท่ามกลางกระแสข่าวมีปฏิบัติการพิเศษจาก “คนพิเศษ” ให้ดำเนินการ

ปลายปี 23 ธ.ค. 2566 “ฉัตรชัย” อู้ฟู่ยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)

การเข้ามานั่ง 2 เก้าอี้สำคัญ ทำให้ “ฉัตรชัย” ถูกจับตาว่าจะเข้ามาช่วยปฏิบัติการลับ “บิ๊กตู่-บิ๊กป๊อก” ในช่วงการเลือกตั้ง 14 พ.ค. 2566 ด้วยพาวเวอร์อดีตปลัด มท. หรือไม่ แต่เอาเข้าจริง กลับไร้ผล

จนกระทั่งการเมืองเปลี่ยนขั้ว ยุครัฐบาลเพื่อไทย “ฉัตรชัย” พาตัวเองกลับมาอยู่ในวงโคจรทางการเมืองอย่างชัดเจน โดยร่วมคณะนายกฯ เดินทางไปต่างประเทศในบางครั้ง แต่ไม่ปรากฏตัวในที่สาธารณะ คอยเป็นตัวประสานในหลายเรื่อง ที่สำคัญยังได้รับความไว้วางใจให้ทำงานลับหลายเรื่องเช่นกัน

ทว่า ผลงานสอบ “บิ๊กต่อ-บิ๊กโจ๊ก” แม้ “ฉัตรชัย” หวังให้เป็นผลงานชิ้นโบว์แดง แต่ผลการตรวจสอบกลับโดนกระแสตีกลับกลายเป็นผลงานชิ้นโบว์ดำ เพราะขั้นตอนการสอบและผลของการสอบ ไม่มีอะไรออกมาเป็นรูปธรรม

“ฉัตรชัย” ที่ชีวิตราชการเติบโตมาในยุคชินวัตร และเป็นใหญ่ในยุคคสช. ต่อจากนี้ ทุกอย่างก้าวย่อมถูกจับจ้องว่า จะมีบทบาทอย่างไรใน “รัฐบาลเศรษฐา” โดยเฉพาะตำแหน่ง “ประธาน ป.ป.ง.” ที่สามารถให้คุณ-ให้โทษ ในคดีความใหญ่ๆได้