‘ฉากรบ-ดีลไม่ลับ‘ สีกากี ‘สุรเชษฐ์’ เปิดใจ ฉากจบ

‘ฉากรบ-ดีลไม่ลับ‘ สีกากี  ‘สุรเชษฐ์’ เปิดใจ ฉากจบ

“สุรเชษฐ์” ยอมรับว่า “ทักษิณ” พยายามช่วยอยู่ โดยระบุว่า “ท่านพยายามช่วยผมอยู่ พยายามดูแลผม ในส่วนที่ท่านพอทำได้ โดยไม่ไปล้วงลูก ส่วนผมเองก็ต้องทำตัวเองให้ดีด้วย หลายส่วนต้องประกอบกับ”

KEY POINTS :

  • "พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล" รอง ผบ.ตร. ยังเดินเกมแรง กดดันให้ "นายกฯ-ผบ.ตร." เพิกถอนคำสั่งให้ออกราชการไว้ก่อน เพื่อกลับเข้าดำรงตำแหน่ง รอง ผบ.ตร.
  • เดิมพันใหญ่ไม่ใช่แค่ตำแหน่งเก่า แต่อาจจะมุ่งหมายตำแหน่ง ผบ.ตร. ที่จะเลือกกันใหม่ในอีกไม่ช้า เพราะหาก "บิ๊กโจ๊ก" ยังไม่กลับไปนั่ง รอง ผบ.ตร. โอกาสที่จะได้รับการพิจารณาหลุดลอยไปด้วย

จับตาการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ในวันนี้(26มิ.ย.)  ซึ่งนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานก.ตร. จะเป็นประธานการประชุม ไฮไลต์สำคัญอยู่ที่การพิจารณาผลสรุปการสอบสวนของอนุกรรมการวินัยฯเรื่องให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)  ออกจากราชการไว้ก่อน ว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ขณะที่ท่าทีจาก “บิ๊กโจ๊ก” พล.อ.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) ยังเดินหน้าเปิดศึกอำนาจในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) โดยยื่นฟ้อง “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผบ.ตร. อดีตรักษาการ ผบ.ตร.

เนื่องจากปมขัดแย้งกับ “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. นำมาสู่การโดนคำสั่ง “กิตติ์รัฐ” ให้ตัวของ “สุรเชษฐ์” ออกราชการไว้ก่อน แต่คำสั่งดังกล่าวกลับมีจุดอ่อนและไม่สมบูรณ์ เปิดช่องให้ “สุรเชษฐ์” เอาผิด “กิตติ์รัฐ” ทำให้ศึกใน “องค์กรสีกากี” กลับมานับหนึ่งใหม่

รายการคมชัดลึก เนชั่นทีวี 22 สัมภาษณ์เบื้องลึก ฉากสู้ ฉากรบ ของ “สุรเชษฐ์” เพื่อฉายฉากจบในเกมอำนาจ “เบอร์หนึ่งสีกากี”

“สุรเชษฐ์” เริ่มประเมินสถานการณ์ของตัวเองว่า วันนี้ผู้ใหญ่ของบ้านเมือง รวมถึงนายกฯ อยากให้ปรองดอง การปรองดองใน ตร. มันง่ายมาก มันอยู่ที่ตัวของนายกฯและผบ.ตร. ความสงบสุขมันอยู่ที่หัวหน้าหน่วย ผบ.ตร. ต้องมีความยุติธรรม มีความเป็นธรรม

“ถ้าผมเป็น ผบ.ตร. เรื่องนี้แบบนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องผม มันต้องออกคำสั่งให้ทุกคนกลับหมด แล้วมาคุยกันแบบพี่น้อง ไม่ต้องสร้างปัญหาให้กับนายกฯ ท่านมาจากภาคธุรกิจ ท่านไม่เข้าใจกฎหมาย ผมใช้คำพูดว่า อดีตรักษาการ ผบ.ตร. ไปหลอกท่าน แล้วให้ท่านนายกฯส่งผมกลับ ผมก็บอกตั้งแต่แรกว่านายกฯถูกหลอก”

“สุรเชษฐ์” เล่าต่อว่า เมื่อท่านนายกฯส่งตนเองกลับมา อดีตรักษาการ ผบ.ตร. คิดว่าทำอย่างนี้ ตัวเองอาจจะเป็น ผบ.ตร.ได้ แต่พอทำไปทำมาท่านนายกฯ ก็เซฟตัวเอง ส่งไปหารือกับกฤษฎีกา ซึ่งกฤษฎีกาวินิจฉัยออกมา 10 ต่อ 0 เมื่อท่านนายกฯรู้ก็ยิ่งกังวล แต่ไม่กล้าสั่งการเป็นหนังสือว่าให้ อดีตรักษาการ ผบ.ตร. แก้ไขคำสั่งให้ถูกต้อง แต่กลับเพิกเฉยละเลย

“ก่อนหน้านี้ผมนิ่ง เพราะมีผู้ใหญ่อยากจะให้จบ ผมก็รอดูว่า อดีตรักษาการ ผบ.ตร. ทำอะไรให้ผมหรือยัง จนกระทั่งหมดอำนาจรักษาการ ก็ยังไม่ทำอะไร นั่นเพราะการให้ผมออกราชการไว้ก่อน มีเจตนาแอบแฝง ต้องเอาไอ้โจ๊กออกไปให้ได้ เพราะการเลือกตั้ง ผบ.ตร. คนใหม่ คู่แข่งจะได้หายไปคนหนึ่ง”

ขณะเดียวกันยังมีประเด็นตาม มาตรา 64 พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ มีการระบุว่า ผบ.ตร. จะต้องกำหนดหน้าที่การงานและมอบหมาย เมื่อตนยังไม่ได้รับโปรดเกล้าฯให้ออกจากราชการไว้ก่อน สถานะยังคงเป็น รอง ผบ.ตร. ทำให้อดีตรักษาการ ผบ.ตร. ต้องมอบหมายงานให้ตนทำ เมื่อไม่มอบหมายงานเท่ากับละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

“ผมกำลังทำหนังสือไปยัง ตร. เรื่องการไม่มอบหมายงาน ไม่จ่ายเงินเดือน อันนี้จะโดนละเว้นการปฏิบัติหน้าที่กันหมด ถ้าคุณไม่มอบหมายงาน แล้วผมจะได้พิจารณาขั้นเงินเดือนได้อย่างไร การเอาคนมาดองไว้มันผิดกฎหมาย”

สำหรับกระแสข่าวดีลลับ เพื่อให้ “สุรเชษฐ์” กลับมารับราชการ โดย “ต่อศักดิ์” เป็นคนลงนามคำสั่งหรือไม่นั้น “สุรเชษฐ์” กล่าวว่า ตนไม่ขอเรียกว่าดีล แต่มีผู้ใหญ่ของบ้านเมืองเขาอยากให้ทุกคนกลับหมด แต่อดีตรักษาการ ผบ.ตร. ไม่ยอมเพิกถอนคำสั่ง แต่ถ้าตนเป็น ผบ.ตร. เมื่อโยน รองผบ.ตร. ออกไปข้างนอก เขาก็ต้องต่อสู้

“คำว่าดีล หมายถึงผู้ใหญ่ต้องการให้จบ แต่วันนี้ต่างคนต่างไม่ยอม ผมจะปรบมือข้างเดียวไม่ได้ ต้องเปิดใจกันจริงๆ ผมเป็นคนคุยง่ายอยู่แล้ว ผมพร้อมที่จะจบ และไม่อยากเสียเวลา”

เมื่อถามย้ำว่า มีข้อแลกเปลี่ยนให้ “ต่อศักดิ์” ลงนามให้คืนตำแหน่ง รองผบ.ตร. หรือไม่ “สุรเชษฐ์” ตอบกลับว่า “ไม่มีการพูดคุยแบบนี้กับ ผบ.ตร. ต่อศักดิ์ เพราะติดต่อท่านไม่ได้ และทราบว่าท่านป่วยหนัก วันนี้ทราบว่ายังป่วยอยู่ เฉพาะท่านต่อศักดิ์ไม่มีการพูดคุยอะไรเลย ไม่มีการเจรจาอะไรทั้งสิ้น”

นายกฯต้องแก้ปัญหาให้ผม เมื่อพูดแล้วว่าคำสั่งไม่สมบูรณ์ นายกฯก็ต้องสั่งการให้ ผบ.ตร. ดำเนินการ แต่ถ้ายังไม่แก้ไขคำสั่ง ผมก็ต้องใช้สิทธิยื่นฟ้องมาตรา 157

“ผู้ใหญ่หลายคนโทรมาว่าอย่าฟ้องนายกฯเลย เพราะนายกฯไม่เกี่ยว ผมก็เข้าใจว่านายกฯไม่รู้เรื่อง โดนอดีตรักษาการ ผบ.ตร. เขาหลอก แต่วันนี้จะให้ผมคุยกับใคร เมื่อท่านเป็นนายกฯก็ต้องแก้ไขปัญหาให้ลูกน้อง นายกฯต้องเรียกเอาฝ่ายกฎหมายมาดูว่า มันถูกหรือไม่ถูก ก็สั่งการให้ถูกต้องซะ วันนี้โยนไปโยนมา”

เมื่อถามว่า ทำไมถึงไม่รอคำตอบจากคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม “สุรเชษฐ์” ตอบว่า ตนอยากให้เห็นเป็นเยี่ยงอย่างว่าใครก็ตามอยากมามีอำนาจในบ้านเมือง ต้องกล้าตัดสินใจ ไม่ใช่ลอยตัว

ถามย้ำว่า การไม่รอคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม เพราะไม่มั่นใจว่าจะวินิจฉัยเป็นคุณ จึงเดินเกมกดดันหรือไม่ “สุรเชษฐ์” กล่าวว่า “ผมมั่นใจว่าจะได้รับการพิจารณาอย่างเป็นธรรม แต่ผมมองว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยาก นายกฯจะลอยตัวไม่ได้ ท่านต้องแก้ไข ปัญหาใน ตร. มันแตก เพราะไม่มีผู้นำองค์กร ผมไม่ได้บอกว่าจะต้องการเป็น ผบ.ตร. ผมเป็นอะไรก็ได้ แต่ต้องถูกต้อง และเป็นธรรม”

เมื่อถามว่า มีกระแสข่าวจะสลับให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ไปดำรงตำแหน่งปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี “สุรเชษฐ์” กล่าวว่า “วันนี้คงไม่มีแล้ว และที่ทำแบบนี้ลูกน้องคงยุมาว่า เอ๊ะ...เป็น ผบ.ตร. ได้ การเอาโจ๊กออกไปคุณก็เป็นเสียเลยนะ แต่แม้จะเป็นได้จริง คุณต้องรับผิดชอบต่อคดีอาญา เวลาที่ต้องต่อสู้คดีอาญา คุณต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวและลำพัง

“สุรเชษฐ์” กล่าวถึงความสัมพันธ์กับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นคนคอยสนับสนุนให้เจริญเติบโตใน ตร. ว่า “วันนี้เหมือนเดิม ผมต้องดูแลท่านให้ดี อย่าลืมว่าผมมีวันนี้ก็เพราะท่าน การที่ผมเติบโตมาถึงยศ พล.ต.อ. และเติบโตมาเร็วขนาดนี้ 1.ผมทำงาน 2.ผมมีท่านเป็นผู้บังคับบัญชาที่ดี ถ้าผมไม่มีท่านผมมาไม่ถึงขนาดนี้”

“สุรเชษฐ์” ยังทิ้งท้ายถึงความสัมพันธ์กับ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ว่า “ท่านนายกฯทักษิณเอ็นดูผม คุณพ่อผมขับรถให้กับพ่อตาท่าน ผมอยู่กับพ่อตาท่านตั้งแต่เด็กๆ ผมเป็นคนกตัญญู ใครจะขึ้น ใครจะตก ใครจะลง ผมเป็นคนแบบนี้ ผมไม่เคยห่างคนมีบุญคุณกับผม รวมถึงคุณหญิงอ้อ (คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์) ท่านก็เมตตาผม”

สุดท้าย “สุรเชษฐ์” ยอมรับว่า “ทักษิณ” พยายามช่วยอยู่ โดยระบุว่า “ท่านพยายามช่วยผมอยู่ พยายามดูแลผม ในส่วนที่ท่านพอทำได้ โดยไม่ไปล้วงลูก ส่วนผมเองก็ต้องทำตัวเองให้ดีด้วย หลายส่วนต้องประกอบกับ”