เจาะ 5 สาย ชิง ‘ประธานวุฒิ-รองฯ’ ‘แดง-บ้านป่า’เฉลี่ยดุล -‘ส้ม’ชู เสรีก้าวหน้า

ฝุ่นตลบสภาสูง  หลังเข้าโหมดนับหนึ่งสว.ชุดที่13จำนวน200คน  กระทั่งเปิดให้สมาชิกใหม่เข้ารายงานตัวต่อสำนักเลขาธิการวุฒิสภา ครบถ้วนเรียบร้อยไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 15 ก.ค.

ขั้นตอนหลังจากนี้ นภาภรณ์ ใจสัจจะ เลขาธิการวุฒิสภา เปิดเผยว่า สำนักงาานจะแจ้งไปยัง สว.ให้เข้าประชุมวุฒิสภา นัดแรก ในวันที่ 23 ก.ค.นี้ เพื่อให้สว.ชุดใหม่กล่าวคำปฏิญาณตนก่อนปฏิบัติหน้าที่

จากนั้นจะเข้าสู่วาระสำคัญ นั่นคือ การเลือก “ประธาน-รองประธานวุฒิสภา” ซึ่งการประชุมนัดแรกนั้น ตามข้อบังคับต้องให้สว.ที่มีอาวุโสสูงสุดขึ้นทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมชั่วคราว 

เบื้องต้น มี สว.ที่อาวุโส สูงสุด คือ พล.ต.ท.ยุทธนา ไทยภักดี หากในวันประชุมพล.ต.ท.ยุทธนา ไม่อยู่ในที่ประชุม ต้องให้สว.ที่อาวุโสลำดับถัดไปทำหน้าที่ คือ แล ดิลกวิทยารัตน์ ตามลำดับ

ทว่าก่อนถึงวันจริงสัญญาณสภาสูงเวลานี้กลับเต็มไปด้วยความเคลื่อนไหวของสว.สีต่างๆ ในการก่อตัวตั้งกลุ่มก๊วน เดินสายล็อบบี้เสียงเพื่อส่งคนของตัวเองนั่ง ตำแหน่ง“ประมุข” และ “รองประมุข” สภาสูง

ไล่เรียงแต่ละสายที่คุมเสียงสภาสูงในเวลานี้ สว.สายน้ำเงิน มีเสียงในมือ 140 คน สีส้ม 18 คน สีแดง 9 คน เขียวบ้านป่า 3คน นายทุน 3 คน อื่นๆ 27 คน

เช็กเสียง-ไล่สาย นับคร่าวๆ เวลานี้ สภาสูงมีการจับกลุ่มที่เห็นได้ชัดเจน 5 สายทั้ง สายสีน้ำเงิน ที่คุมเสียงในสภาสูง ย่อมต้องจับตาไปที่เก้าอี้ “ประธานวุฒิสภา” จนถึงล่าสุดมี 2 รายชื่อทั้ง พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ หรือ“บิ๊กเกรียง”สว. จากกลุ่มบริหาราชการแผ่นดินและความมั่นคง ที่ได้คะแนนสูงสุดในกลุ่มดังกล่าว

โดยในส่วนของ พล.อ.เกรียงไกร นั้นอย่างที่รู้กันมีความสนิทสนมกับ“อนุทิน ชาญวีรกูล”รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในฐานะเพื่อร่วมรุ่น วปอ.

กระแสหนึ่งยังเชื่อว่า“บิ๊กเกรียง”จะผงาดสภาสูง เพราะนอกเหนือจากจะเป็นเพื่อนรัก “มท.หนู” แล้ว ยังต้องจับตาไปที่คอนเน็กชันนอกสี เชื่อมโยงทั้ง“อำนาจเก่า”และ“อำนาจใหม่”

ในวันรายงานตัวต่อวุฒิสภา “บิ๊กเกรียง” พูดถึงประเด็น เป็นตัวเต็งชิงประธานวุฒิสภาว่า หากได้รับเลือกไม่ว่าจะเป็นประธานหรือรองประธานวุฒิสภา ขอให้ถึงเวลานั้นทุกคนต้องพร้อม

“รายงานข่าวจากสภาสูง” กระแสหนึ่งประเมินทิศทางว่า “บิ๊กเกรียง” ยังออกอาการ “แบ่งรับ-แบ่งสู้” ทำให้สมาชิกไม่ในเครือข่ายไม่มั่นใจ และเสียงอาจเทไปที่สายอื่นแทน

 

 

แต่หากจับจังหวะ-ถอดเวิร์ดดิ้ง ในวันรายงานตัวที่สภาฯ ดีๆ  “บิ๊กเกรียง” พูดชัดว่า ตนเองเป็น “สว.สายสีน้ำเงินเข้ม” 

ซึ่งคำว่า“สีน้ำเงินเข้ม” ความหมายต่างกับ “สว.สีน้ำเงิน” หรือ “กลุ่มการเมืองสีน้ำเงิน” ตามที่มีการพูดถึงเวลานี้ลิบลับ 

แต่คำว่า “สีน้ำเงินเข้ม” ตามที่ “บิ๊กเกรียง”พูดถึง หมายถึง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือสีแห่งสัญลักษณ์ของการเมือง “ขั้วอนุรักษ์นิยม”นั่นเอง  

ฉะนั้นกระแสหนึ่งที่บอกว่า“บิ๊กเกรียง” กำลัง“แบ่งรับ-แบ่งสู้” ไม่ชัดเจน หรือแท้จริงแล้ว อาจกำลัง "ส่งสัญญาณ"หรือ "รอสัญญาณ" อะไรบางอย่างจาก “คีย์แมนอนุรักษนิยม” หรือไม่ ?

ก็คงคล้ายๆกับที่ “กลุ่มการเมืองสีน้ำเงิน” พร้อมใจกันสวมเสื้อเหลืองเข้าสภา ในวันประชุมสภาฯ ตามไอเดียของผู้นำพรรคที่ปรากฎภาพออกมาให้เห็นในช่วงที่ผ่านมา ท่ามกลางการส่งสัญญาณการเมืองอะไรบางอย่างหลังจากนี้ 

ทว่า นอกเหนือจาก “บิ๊กเกรียง” แล้ว ยังมีการจับตาว่า อีกหนึ่งเต็งหนึ่งชิงประธานวุฒิสภา คือ  “มงคล สุระสัจจะ” อดีตอธิบดีกรมการปกครอง ที่นับว่าเป็นสายตรง “บ้านใหญ่บุรีรัมย์” ถือเป็น“ลูกหม้อ”กระทรวงมหาดไทย ทั้งอดีตอธิบดีกรมการปกครองและยังเป็นอดีตประธานคณะทำงานทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย จากพรรคภูมิใจไทย ตรงสเปกนักปกครอง

ในวันรายงานตัว “มงคล”  พูดถึงกรณีมีชื่อเต็งประธานวุฒิสภา รู้สึกเครียด กดดัน ซึ่งการได้มาถึงจุดนี้ถือว่าเป็น“บุญวาสนา” 

ต้องมาลุ้นกันว่า คำว่า “บุญวาสนา”  ที่“มงคล”  พูดถึงจะหมายถึงสัญญาณจากบ้านใหญ่บุรีนัมย์หรือไม่ต้องติดตาม 

เหนือไปกว่านั้น ในยามที่สภาสูงกำลังวิ่งวุ่นฝุ่นตลบ  ล็อบบี้เสียงโหวต  “ประธานวุฒิสภา” ซึ่งถูกล็อกไว้ที่สีน้ำเงินแล้ว ยังต้องจับตาไปที่การเปิดดีลต่อรอง “แชร์อำนาจ” ไปที่สว.อีก 2 สายคือ “สายเขียวบ้านป่า” และ “สายสีแดง”  ที่อยู่ในปีกรัฐบาลด้วยกัน

ก่อนหน้ามีข่าวว่า “สีน้ำเงิน” ซึ่งถือเสียงสภาสูงเกือบเบ็ดเสร็จอาจรวบทั้ง “ประธาน” และ “รองประธานคนที่ 1” ไว้ที่ตนเองทั้งหมด

แต่ล่าสุดเริ่มมีข่าวคราวการเปิดดีลระหว่าง “สีน้ำเงิน-เขียวบ้านป่า-สีแดง” ในการเปิดดีลเขย่าดุลอำนาจ แชร์โควตารองประธานสภาคนที่  1 ที่ “เขียวบ้านป่า” หรือ “สีแดง”  เปิดทางไปสู่ดีลแลกเปลี่ยนอื่นๆในอนาคต

โดยมีการพูดถึงชื่อของ“นพดล อินนา”อดีตสส.บัญชีรายชื่อ ไทยรักไทย ในวันรายงานตัวต่อสภาฯ เจ้าตัวพูดถึงเรื่องนี้ว่า “เป็นเรื่องของสมาชิกเป็นคนเลือก แต่ด้วยประสบการณ์ 40 ปีที่ผ่านมา ทั้งทางด้านนักวิชาการ ภาคเอกชน การเมือง และด้านต่างประเทศ ก็น่าจะทำประโยชน์ให้วุฒิสภาได้ ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งไหน”

อีกหนึ่งสายที่ต้องจับตา คือ กลุ่มที่เรียกตัวเองว่าเป็น สว.พันธ์ุใหม่  ที่มี “นันทนา นันทวโรภาส” สว.สายสื่อ เป็นโต้โผ 

“นันทนา” ให้นิยามคำว่า สว.พันธุ์ใหม่คือ “สว.สีส้ม” หมายถึง สว.ที่เป็นเสรีนิยมก้าวหน้า มีอุดมการณ์ประชาธิปไตย โดยกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่รวมตัวสว.สายส้มและสว.อิสระราว30คน เพื่อเสนอตัวแทนชิงประธานและรองประธานวุฒิสภา 

ก่อนหน้ามีการจับตาไปที่  “นันทนา” ที่จะเป็นรองประธานวุฒิสภาในสัดส่วนสตรี แต่ทั้งหมดทั้งมวลต้องอยู่ที่เกมถ่วงดุลในสภาสูงจับจังหวะสว.พันธุ์ใหม่เวลานี้หลายคนยังเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา 30 เสียงที่มีการระบุ ถึงเวลาจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้น 

โดยเฉพาะชื่อของ “บุญส่ง น้อยโสภณ” อดีตกกต.ซึ่งถูกจับตาว่าจะเป็นแคนดิเดตประธานวุฒิสภา หรือรองประธานวุฒิอีกคน เนื่องจากเคยเป็นที่ปรึกษา ศุภชัย สมเจริญ อดีตรองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 มาก่อน

แม้ “นันทนา” จะบอกว่า “บุญส่ง” และ สว.พันธ์ุใหม่ เป็นพันธมิตร เพราะเรารวมกันมาตั้งแต่ต้น ทว่าท่าทีจาก “บุญส่ง”  ที่เริ่มเดินสายขอคะแนนจากสว. กลับไม่ได้แสดงตัวตนชัดเจนว่ามาจากสายใด

อีกกลุ่มที่ต้องจับตาคือ กลุ่มสว.สีขาว  ที่ตั้งตนเป็น “กลุ่มอิสระ” ไม่ขึ้นตรงสายไหน

แต่หากไล่ลงลึกจริงๆ กลุ่มนี้จำนวนไม่น้อยล้วนเป็นน้ำเงินจางๆ แดงจางๆ หรือ บ้านป่ากลายๆ ฉะนั้นที่บอกว่าเป็นอิสระนั้นถึงเวลาจริงอาจอยู่ที่เงื่อนไขในการเปิดดีลต่อรอง รวมถึงข้อเสนอที่จะได้รับหลังการโหวต 

สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของ บรรดาสว.ทั้งสายสีน้ำเงิน แดง และบ้านป่าฯ ที่พยายามต่อสายดึงสว.กลุ่มนี้ไปอยู่ในกลุ่มเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองให้มากขึ้น 

ท่ามกลางกระแสเกลี่ยโควตา “ประธาน”และ “รองประธานวุฒิสภา”  แน่นอนว่าย่อมมีทั้งผู้สมหวังและผิดหวัง ถึงที่สุดอาจต้องจับตาไปที่ข้อแลกเปลี่ยนถัดไป นั่นคือการช่วงชิง ประธานกรรมาธิการวิสามัญ ประจำวุฒิสภา หรือ “ประธานกมธ.” 

โดยเฉพาะกมธ.เกรดเอ  อาทิ กมธ.ศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต ประพฤติมิชอบและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา 

ซึ่งสว.ชุดที่แล้วถูกผูกขาดโดย  “บิ๊กปุ้ม” พล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ น้องชายของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประมุขบ้านป่าฯ รวมถึงสว.สายบ้านป่า 

หรือ กมธ.กิจการ วุฒิสภา  ซึ่งมีบทบาทสำคัญและถูกใช้เป็นหมากการเมืองในหลายยุคหลายสมัย 

อีกหนึ่งตัวอย่างเห็นได้ชัดคือ กรณีที่ “หมอเปรม” นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ ที่พยายามเซ็ตกลุ่มสว.สีขาวขึ้นมา

ท่ามกลางกระแสข่าวสนใจอยากจะเป็นประธานกมธ.ชุดใดชุดหนึ่ง เช่น กมธ.สาธารณสุข วุฒิสภา หลังจากว่างเว้นการเมืองในสภามาร่วม 20 ปี เป็นต้น

จากนี้จึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เชื่อได้เลยว่ากว่าจะถึงวันจริง สภาสูงจะเต็มไปด้วยเกมขับเคี่ยวชิงชัยอย่างดุเดือดแน่นอนชื่อไหนที่ว่าแน่ถึงเวลาจริงก็อาจพลิกผันได้!