เหลือชนักปักอีก 2 คดี ‘เต้ มงคลกิตติ์’ ผ่าขุมธุรกิจ-ทรัพย์สิน 184 ล้าน
ผ่าขุมข่ายธุรกิจ ‘เต้ มงคลกิตติ์’ ก่อนโดน ป.ป.ช.ปัดฟันผิดจริยธรรม ชี้เรื่องไม่ร้ายแรง ปมพานักเรียนไปดูภาพยนตร์ ‘4 Kings’ ปี 64 พบยังมีชนักปักอีก 2 คดี ถูกสอบแจ้งทรัพย์สินเท็จปมแจ้งราคาพระเครื่องสูงเกินจริง-ชู 3 นิ้วในม็อบ แจ้งสมบัติพ้น สส. รวย 184 ล้าน
“มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์” เป็นนักการเมืองรายล่าสุดที่ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลว่าผิดจริยธรรมร้ายแรง กรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมฯ จากการลาประชุมสภาผู้แทนราษฏรไปชมภาพยนต์เรื่อง “4 KINGS อาชีวะ ยุค 90” เมื่อปี 2564
ในเรื่องนี้ “เต้ มงคลกิตติ์” อดีต สส.บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ หนึ่งในแกนนำ “กลุ่มพรรคเล็ก” ที่ขับเคลื่อนงาน สร้างสีสันให้สภาฯระหว่างปี 2562-2566 ปัจจุบันเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ปชป. ไลฟ์สดเฟซบุ๊กชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ไม่คาดคิดว่า ป.ป.ช.จะชี้มูลความผิดด้านจริยธรรมกรณีพานักเรียนนักศึกษาไปดูภาพยนตร์ 4 KINGS เมื่อปี 2564 ทั้งนี้ที่ผ่านมาจนถึงวันนี้เพิ่งทราบว่า ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดด้านจริยธรรม และจะมีการส่งต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป โดยโทษคือตัดสิทธิทางการเมือง
“มงคลกิตติ์” กล่าวยืนยันว่า แต่ที่ผ่านมาไม่เคยขาดประชุมสภาฯ เลย และไปไหนก็ทำหนังสือลาราชการก่อน อย่างกรณีที่พานักเรียนนักศึกษาไปดูภาพยนตร์ 4king ภาพยนตร์ฉาย 17.40 น. เป็นเวลาที่ปิดประชุมสภาไปแล้ว โดยวันนั้นปิดประชุมสภา 16.30 น. แต่ตนทำหนังสือลาราชการตั้งแต่ 14.00 น.ก็เพราะต้องไปเตรียมตัว อาทิ อาบน้ำ ฯลฯ ก่อนไปดูภาพยนตร์
ล่าสุด นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. ชี้แจงกรณีนี้ว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.มิได้ชี้มูลผิดจริยธรรมร้ายแรงแก่นายมงคลกิตติ์แต่อย่างใด
โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่า การลาประชุมสภาผู้แทนราษฎรไปชมภาพยนตร์เรื่อง "4 KINGS อาชีวะ ยุค 90" นั้น นายมงคลกิตติ์ได้ยื่นหนังสือลาตามระเบียบสภาผู้แทนราษฎรว่าด้วยการลงชื่อมาประชุมและการลาการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2562 แล้ว ซึ่งถือเป็นเหตุจำเป็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ไม่อาจก้าวล่วงได้
แต่พฤติการณ์การออกจากที่ประชุมสภา และโพสต์พฤติการณ์การกระทำดังกล่าวเผยแพร่ในขณะที่มีการประชุมสภา เป็นการกระทำที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ และกระทบกระเทือนต่อความเชื่อถือความศรัทธาของประชาชนในการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ในการดำรงตำแหน่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามมาตรฐานจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ข้อ 17 และตามข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ พ.ศ. 2563 ข้อ 10
เมื่อพิจารณาพฤติการณ์ดังกล่าว ประกอบเจตนาและความเสียหายแล้วเห็นว่ามีลักษณะไม่ร้ายแรง จึงมีมติว่า ไม่เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง ประกอบกับปัจจุบันนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ พ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว จึงไม่มีเหตุต้องส่งเรื่องให้สภาผู้แทนราษฎรเพื่อดำเนินการตามหน้าที่ตามข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ พ.ศ. 2563 ต่อไป
อย่างไรก็ดีหากหลายคนยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้ “เต้ มงคลกิตติ์” มีเรื่องถูกร้องเรียนกล่าวหา และ ป.ป.ช.ดำเนินการไต่สวนอีกอย่างน้อย 2 เรื่องด้วยกัน ได้แก่
1.กรณีกล่าวหาว่าจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ กรณีแจ้งทรัพย์สินเป็นพระเครื่องหลายองค์ โดยถูกตั้งข้อสังเกตว่าแจ้งมูลค่าสูงเกินจริงหรือไม่ โดยเฉพาะพระกริ่งปวเรศทองคำ น้ำหนัก 3 บาท แจ้งมูลค่าถึง 50 ล้านบาท เรื่องนี้นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เป็นผู้ยื่นคำร้องกล่าวหา ปัจจุบัน “เต้ มงคลกิตติ์” ได้เข้าให้ถ้อยคำและชี้แจงกับ ป.ป.ช.แล้ว แต่ยังไม่มีความคืบหน้าในเรื่องนี้แต่อย่างใด
2.กรณีกล่าวหา กระทำการอันเป็นการจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและผ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรมอย่างร้ายแรง กรณีได้เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองเมื่อวันที่ 19-20 ก.ย.2563 และได้แสดงสัญลักษณ์ชูสามนิ้วอันเป็นการสนับสนุนข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่มีวัตถุประสงค์ล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือที่เรียกกันว่า “คดีชู 3 นิ้ว” ในการชุมนุมของม็อบราษฎรระหว่างปี 2563 เรื่องนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้แจ้งข้อกล่าวหาไปแล้ว ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการไต่สวน
พลิก“ประวัติเต้ มงคลกิตติ์” แจ้งบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินกรณีพ้นตำแหน่ง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยศรีวิไลย์ เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 2566 มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 184,916,065บาท เป็นทรัพย์สินนายมงคลกิตติ์ 168,635,141บาท ในจำนวนนี้มีพระเครื่อง 10 รายการ มูลค่าสูงถึง 148 ล้านบาท อาทิ พระกริ่งปวเรศทองคำ 3 บาท มูลค่า 50 ล้านบาท พระสมเด็จไกเซอร์เลี่ยมทอง 2บาท มูลค่า 30 ล้านบาท พระร่วงหลังรางปืน จ.สุโขทัย มูลค่า 12 ล้านบาท พระสมเด็จวัดระฆัง ทอง 1 บาท มูลค่า 40 ล้านบาท พระรอดลำพูนเลี่ยมทอง 1บาท มูลค่า 10 ล้านบาท พระยอดธง 2 ล้านบาท พระพุทธชินราชใบเสมา มูลค่า 2.54 ล้านบาท
ส่วน น.ส.พัทธนันท์ ฤทธิ์ชัยเรืองเดช คู่สมรส มีทรัพย์สิน 16,260,082บาท มีหนี้สิน 20,828,078บาท ทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นที่ดิน 6 แปลง มูลค่าร่วม 20 ล้านบาท ที่จ.นนทบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร เพชรบูรณ์ โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 3 หลัง มูลค่า 6 ล้านบาท ที่ จ.นนทบุรี ส่วนบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สิน 20,841 บาท อย่างไรก็ดีไม่ปรากฏทรัพย์สินของ ภคอร จันทรคณา บุคคลที่อยู่กินกันฉันสามีภรรยาแล้ว
ในมุมธุรกิจ “เต้ มงคลกิตติ์” ตอนเข้ารับตำแหน่ง สส.เมื่อปี 2562 เคยแจ้งว่า เป็นเจ้าของบริษัท ที.เอ.อี.มาร์ท กรุ๊ป จำกัด และประธานกรรมการ บริษัท เอกลักษณ์สมุนไพรไทย จำกัด ส่วนนางพัทธนันท์ ฤทธิ์ชัย (คู่สมรสจดทะเบียนตามกฎหมาย) เป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท ซัคเซส อินเตอร์เอ็ดเทรน จำกัด (ให้คำปรึกษา แนะแนว วางแผน และดำเนินการจัดจ้างอาจารย์สอนพิเศษ) ส่วน น.ส.ภคอร จันทรคณา (บุคคลที่อยู่กินกันฉันสามีภรรยา) เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท ชีวานันท์ กรุ๊ป จำกัด และรองประธานกรรมการ บริษัท ที.เอ.อี.มาร์ท กรุ๊ป จำกัด
แต่ล่าสุด เขาเหลือแค่การถือครองหุ้นในบริษัท เอกลักษณ์สมุนไพรไทย จำกัด เพียงแห่งเดียว (เท่าที่ตรวจสอบพบ) เท่านั้น
ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเมื่อ 18 ก.ค. 2567 พบว่า บริษัท เอกลักษณ์สมุนไพรไทย จำกัด จดทะเบียนเมื่อปี 2558 ทุนปัจจุบัน 5 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 59/23 หมู่ที่ 2 ถนนรัตนาธิเบศร์ ต.บางรักพัฒนา อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี วัตถุประสงค์ ผลิต และจำหน่ายสมุนไพร ปรากฏชื่อ พัทธนันท์ ฤทธิ์ชัยเรืองเดช (คู่สมรส) เป็นกรรมการรายเดียว
รายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุดเมื่อ 30 เม.ย. 2566 พัทธนันท์ ฤทธิ์ชัยเรืองเดช ถือหุ้นใหญ่สุด 60% มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ถือ 35% วิสิทธิ สรชัย ถือ 2% กฤษยากร สรชัย ถือ 1% ประเสริฐ สรชัย ถือ 1% และเบญญาภา สรชัย ถือ 1%
นำส่งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2565 มีสินทรัพย์รวม 5,162,635 บาท รายได้รวม 12,288 บาท กำไรสุทธิ 5,288 บาท
ส่วนบริษัท ชีวานันท์ กรุ๊ป จำกัด จดทะเบียนเมื่อ 23 ก.ค. 2557 ทุนปัจจุบัน 1 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 170/276 หมู่ที่ 1 ต.บางคูวัด อ.เมืองปทุมธานี จ.ปทุมธานี วัตถุประสงค์ การขายส่งหนังสือหนังสือพิมพ์และเครื่องเขียน ปรากฏชื่อ สรกฤช จันทรคณา (สกุลเดียวกับ ภคอร จันทรคณา อดีตบุคคลที่อยู่กินฉันสามีภริยากับ “เต้ มงคลกิตติ์”) เป็นกรรมการรายเดียว
นำส่งรายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุดเมื่อ 30 เม.ย. 2567 ชลิดา คุ้มแก้วกาญจน์ ถือหุ้นใหญ่สุด 70% ดวงมณี พูลละเอียด ถือ 20% ศิรัญญา ไกรบริรักษ์ ถือ 10%
นำส่งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2566 มีสินทรัพย์รวม 655,781 บาท รายได้รวม 15,600 บาท กำไรสุทธิ 9,600 บาท
ขณะที่บริษัท ที.เอ.อี. มาร์ท กรุ๊ป จำกัด จดทะเบียนเมื่อ 21 มี.ค. 2546 ทุนปัจจุบัน 5,650,000 บาท ตั้งอยู่ที่ 60/138 หมู่ที่ 5ซอย กันตนา ถนนกาญจนาภิเษก ต.บางม่วง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี วัตถุประสงค์ การจัดหา จัดจ้างอาจารย์สอนพิเศษ รับสอนพิเศษ ปรากฏชื่อ ชุติมา โชคอารีย์ เป็นกรรมการรายเดียว
รายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุดเมื่อ 29 เม.ย. 2567 ชุติมา โชคอารีย์ ถือหุ้นใหญ่สุด 92.9186% ยุทธวิศน์ จันทร์ธนวงษ์ ถือ 7.0796% รัฐกร อิศราภรณ์ ถือ 0.0018%
นำส่งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2565 สินทรัพย์รวม 3,946,282 บาท รายได้รวม 7,845 บาท กำไรสุทธิ 845 บาท
บริษัทแห่งนี้เคยเป็นคู่สัญญาในการจัดหาครูชาวต่างชาติปฏิบัติการสอนภาษาต่างประเทศ กับหน่วยงานในสังกัด กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน อย่างน้อย 5 สัญญา 10,087,636 บาท
ส่วน บริษัท ซัคเซสอินเตอร์เอ็ดเทรน จำกัด จดทะเบียนเมื่อ 17 ธ.ค. 2553 ทุนปัจจุบัน 2 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 60/138 หมู่บ้าน เดอะแพลนท์รีสอร์ท หมู่ที่ 5ซอย กันตนา ถนนกาญจนาภิเษก ต.บางม่วง อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี วัตถุประสงค์ ให้คำปรึกษา แนะนำ วางแผน และดำเนินการจัดจ้างอาจารย์สอนพิเศษ ปรากฏชื่อ ชุติมา โชคอารีย์ เป็นกรรมการรายเดียว
นำส่งรายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุดเมื่อ 29 เม.ย. 2567 กุลวดี กิตติมานะพันธ์ ถือหุ้นใหญ่สุด 99.90% ศุภลักษณ์ วัชราภรณ์ ถือหุ้น 0.05% และวุฒิพงษ์ แพรสมบูรณ์ ถือ 0.05%
นำส่งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2565 มีสินทรัพย์รวม 2,633,557 บาท รายได้รวม 2,332,438 บาท กำไรสุทธิ 801,274 บาท
บริษัทแห่งนี้เคยเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานรัฐ ในการพาคณะเจ้าหน้าที่ไปทัศนศึกษาดูงาน ณ ประเทศญี่ปุ่น2 แห่ง 2 สัญญา เมื่อเดือน ส.ค.และ ต.ค. 2557 รวม วงเงิน 3,213,500 บาท