3 คีย์แมนพลิกการเมืองไทย ‘ทักษิณ - เนวิน - ธนาธร’ หลังฉาก จุดเปลี่ยนเกม

3 คีย์แมนพลิกการเมืองไทย ‘ทักษิณ - เนวิน - ธนาธร’ หลังฉาก จุดเปลี่ยนเกม

3 คีย์แมนพลิกการเมืองไทย ‘ทักษิณ - เนวิน - ธนาธร’ หลังฉาก จุดเปลี่ยนเกม จับตาอุบัติเหตุคดีสำคัญ ”ยุบพรรค - คุณสมบัตินายกฯ“

KEY

POINTS

  • ในเกมการเมือง มีผู้เล่นปรากฏตัวทั้ง "หน้าฉาก" และ "หลังฉาก" ยิ่งในสมรภูมิเดือด การเมือง "หลังฉาก" มีความสำคัญอย่างยิ่ง
  • หากย้อนไปดูประวัติศาสตร์การเมืองไทย การปิดดีลสำคัญมักจะทำโดย "คีย์แมน" หลังฉาก ส่วนนักแสดงหน้าฉาก แค่ดำเนินการตามบทที่วางเอาไว้
  • นับจากนี้ไป "คีย์แมน" ที่จะกำหนดเกม เคลื่อนเกม เปลี่ยนเกม การเมืองไทยมีเพียง 3 คน

3 คีย์แมนพลิกการเมืองไทย ‘ทักษิณ - เนวิน - ธนาธร’ หลังฉาก จุดเปลี่ยนเกม

การเมืองไทยทุกยุคทุกสมัยมักถูกเปรียบเปรยถึง “การละคร” มีผู้กำกับ มีนักแสดง มีพระเอก มีนางเอก ผสมปนเปในละครโรงใหญ่ เปลี่ยนแค่ตัวบุคคล ที่จะสลับกันมาอยู่หน้าฉาก หลังฉากการเมือง

เช่นเดียวกับในปัจจุบัน หลังหมดยุค “3 ป.” เรืองอำนาจ มาถึงยุค “รวมขั้ว” หากผลประโยชน์ลงตัว ย่อมเปิดโต๊ะเจรจาต่อรองกันได้ แม้บางขั้วจะอ้าง “อุดมการณ์” แต่เมื่ออยู่ร่วมโต๊ะ ผลประโยชน์มักถูกหยิบยกมาพูดคุยก่อนเสมอ

หลังจากนี้ต้องจับตา “บุคคลหลังฉาก” ที่จะเข้ามามีบทบาท มีอำนาจ มากกว่า “บุคคลหน้าฉาก” คอยจัดแจง จัดทัพ กำหนดให้ “นักการเมือง” ในสังกัดเดินตามเกม ตามหมาก ที่วางเอาไว้

บรรดานักแสดงหน้าฉาก อาทิ “แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรคเพื่อไทย “อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ประธานคณะที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล อดีตหัวหน้าพรรค และอีกหลายคน มีพาวเวอร์ มีอำนาจตัดสินใจ น้อยกว่า “บุคคลหลังฉาก” เสียอีก

“กรุงเทพธุรกิจ” รวบรวม “บุคคลหลังฉาก” ที่มีอิทธิพลในปัจจุบัน เพื่อฉายภาพการเมืองในอนาคต เนื่องจากการตัดสินใจของบุคคลเหล่านี้ ย่อมส่งผลต่อทิศทางของประเทศไทย

คนแรก ”ทักษิณ ชินวัตร“ อดีตนายกฯ ต้องยอมรับว่าเป็นผู้กำหนดทิศทางของ “เพื่อไทย” มาโดยตลอด แม้จะแชร์อำนาจให้ “พี่สาว-น้องสาว-ลูกสาว” แต่เมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ “ทักษิณ” จะเป็นคนเลือกเส้นทางด้วยตัวเอง

หลังกลับมารับโทษเมื่อวันที่ 22 ส.ค.2566 สปอตไลต์จับทุกย่างก้าวของ “ทักษิณ” การพ้นโทษในวันที่ 20 ส.ค.นี้ ยิ่งเป็นโอกาสให้เจ้าตัวเพิ่มพาวเวอร์ และบารมี ในการขับเคลื่อนการเมืองมากขึ้น

“ทักษิณ” เป็นผู้นำจิตวิญญาณ “เพื่อไทย” สะสมกำลังพลจากยุคพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน ถ่ายทอดดีเอ็นเอการเมืองจาก “นักการเมืองรุ่นพ่อ” สู่ “นักการเมืองรุ่นลูก” บรรดา สส.เพื่อไทย จำนวนไม่น้อยเป็นทายาทนักการเมือง

ขณะเดียวกันยังเป็น “ศูนย์รวมของกลุ่มคนเสื้อแดง” แม้ระยะหลังแดงจะมีหลายเฉด แต่ “แดงทักษิณ” ยังมีกำลังพลในระดับพื้นที่อยู่พอสมควร แม้กำลังพลระดับ “แกนแดง” จะขัดแย้ง แยกทางกันไป

เช่นเดียวกับ “แดงอุดมการณ์” ที่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของ “แดงทักษิณ” กลายร่างเป็น “เสื้อส้ม” หวังให้อุดมการณ์ของตัวเองกลายเป็นจริง

อีกโจทย์ของ “ทักษิณ” คือ การกอบกู้ “คนเสื้อแดง” ที่เคยรัก เคยศรัทธา ให้กลับมาสนับสนุน “เพื่อไทย” เพื่อสู้กับ “กระแสส้ม” ในการเลือกตั้งรอบหน้า

3 คีย์แมนพลิกการเมืองไทย ‘ทักษิณ - เนวิน - ธนาธร’ หลังฉาก จุดเปลี่ยนเกม

สำหรับกลเกมการเลือกตั้ง ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าจะใช้ยุทธศาสตร์ “รวมศูนย์กลุ่มบ้านใหญ่” เน้นการเมืองระบบอุปถัมภ์ เพื่อแย่งชิงเก้าอี้ สส. เพราะมองแล้วว่าไม่อาจสู้กับ “กระแสสีส้ม” ได้

มิหนำซ้ำตัวเลขการเมือง สส.เขต 400 ที่นั่ง สส.บัญชีรายชื่อ 100 ที่นั่ง ชั่งน้ำหนักเหลี่ยมไหนก็รู้ว่า หากกวาด สส.เขต 400 ที่นั่งเข้าสภาฯ ได้มากกว่า “คู่แข่ง-คู่แค้น” โอกาสจัดตั้งรัฐบาลย่อมมีสูงกว่าการทุ่มทุนปั่นกระแส

ดังนั้นทิศทางของ “เพื่อไทย” จึงต้องพึ่งพาบริการของ “บ้านใหญ่” ในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคกลาง ยิ่งเป็นคนคุมเกมในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล “กระสุน” ถูกเตรียมเอาไว้ปราบ “กระแส” ย่อมมีเต็มกระบุง

อย่างไรก็ตาม ตัวของ “ทักษิณ” ไม่สามารถกลับมาดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้อีก เนื่องจากถูกดำเนินคดีจนถึงที่สุด และได้รับโทษจำคุก นอกเสียจากจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อปลดล็อกเงื่อนไขนี้

มุมมอง “ทักษิณ” ต่อการเมืองไทยในปัจจุบัน เขาเคยให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกฯ โดนกลุ่ม 40 สว. (ชุดเก่า) ยื่นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติรัฐมนตรี ภายหลังแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” ดำรงตำแหน่ง รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

“ทักษิณ” ระบุว่า “ประเทศไทย ถ้าใครเคลื่อนไหวปั๊บ มันจะรู้ว่า คนของใคร เคลื่อนไหว ด้วยเหตุอะไรแน่นอน ในฐานะนายกฯ มีเรื่องที่ต้องตอบก็ต้องตอบ ท่านก็ต้องเตรียมตอบคำถามของท่าน ในเมื่อใครจะเคลื่อนไหวอย่างไรก็แล้วแต่ ถ้าเราไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ชี้แจงได้ ในพรรคไม่มีปัญหาใดๆ แต่ภายนอกการเมืองยังเป็นการเมืองลี้ลับอยู่พอสมควร ”

สัญญาณจาก “ทักษิณ” ย่อมมองได้ว่าการเมือง ยังมีเบื้องหลัง ยังมีขุมอำนาจเก่า ที่พยายามหาช่องกลับเข้าสู่อำนาจอีกครั้ง การเมืองจึงเป็นเรื่อง “ลี้ลับ” อยู่เสมอ

3 คีย์แมนพลิกการเมืองไทย ‘ทักษิณ - เนวิน - ธนาธร’ หลังฉาก จุดเปลี่ยนเกม

คนที่สอง “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้า อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ผู้วางรากฐานการเมืองแบบใหม่ กำหนดทิศทาง “ขุนพลสีส้ม” ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง จนต้องมาเผชิญศึกยุบพรรคอีกครั้ง ในนาม “พรรคก้าวไกล”

แม้ “ธนาธร” จะพยายามหลบฉาก ไม่ยุ่งเกี่ยวกับ “ก้าวไกล” แต่ในทางปฏิบัติย่อมรู้กันดีว่าคนสนิทอย่าง “ชัยธวัช ตุลาธน” หัวหน้าพรรคก้าวไกล คือเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่เติบโตด้วยกันมา มีชุดความคิดเดียวกัน มีแนวทางการเมืองเหมือนกัน ในช่วงที่ผ่านมา “ธนาธร” จึงเป็นทั้งท่อน้ำเลี้ยง ผู้นำจิตวิญญาณ และเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของ “ก้าวไกล”

หลังคว้าชัยศึกเลือกตั้งปี 2566 จึงเป็น “ธนาธร” ที่บินตรงเกาะฮ่องกง ไปพบปะพูดคุยกับ “ทักษิณ” แม้เนื้อหาสาระการคุยจะถูกเก็บเป็นชั้นความลับ แต่ไทม์มิ่งการพูดคุยหลังการเลือกตั้ง จึงถูกจับโยงเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม “ธนาธร” เป็นนักกิจกรรมมานาน ทำให้เข้าใจมวลชนอย่างดี รู้ว่า “กระแสสีส้ม” กำลังผลิบาน รู้ดีว่าสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงกำลังจะเกิดขึ้น และพูดเสมอว่า เวลาอยู่ข้าง “ขุนพลสีส้ม”

ดังนั้นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับ “ธนาธร” อาจจะมองไกลถึงการเลือกตั้งอีกสองรอบ ซึ่งตัวเขาเองจะกลับเข้าสู่เส้นทางการเมือง ปี 2573 ภายหลังโดนตัดสิทธิเนื่องจากเป็นกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่

“ธนาธร” ออกมาให้ความเห็นทางการเมืองเกี่ยวกับคดียุบพรรคก้าวไกลว่า “ความพยายามที่จะยุบพรรคก้าวไกล อย่างแรก เป็นความพยายามทำลาย พรรคก้าวไกล เพื่อสกัดไม่ให้พรรคเติบโต และเป็นการสั่งสอนให้เป็นเยี่ยงอย่าง เพื่อให้คนกลัว และเพื่อไม่ให้มีพรรคไหนมาท้าทายโครงสร้างอำนาจนำทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม เหมือนพรรคอนาคตใหม่ และก้าวไกล“

คำให้สัมภาษณ์สะท้อนตัวตนของ “ธนาธร” เป็นอย่างดีว่า “ก้าวไกล” ไม่ใช่หมุดหมายสุดท้ายของการต่อสู้ หากโดนยุบพรรคก็พร้อมที่จะตั้ง “พรรคการเมือง” ขึ้นมาใหม่ เพื่อต่อสู้ในระยะยาว เพราะเขาเชื่อมั่นว่าเวลาอยู่ข้างพวกเขา

3 คีย์แมนพลิกการเมืองไทย ‘ทักษิณ - เนวิน - ธนาธร’ หลังฉาก จุดเปลี่ยนเกม

คนที่สาม “เนวิน ชิดชอบ” ถือเป็นผู้นำจิตวิญญาณของ “ภูมิใจไทย” เกือบทุกการตัดสินใจของ “พรรคสีน้ำเงิน” มาจากมันสมองของชายชื่อ “เนวิน”

ต้องยอมรับว่า “ครูใหญ่ภูมิใจไทย” มีความเชี่ยวชาญ กลเกม การเลือกตั้ง โผในมือช่วงโค้งสุดท้ายก่อนวันกาบัตร มักจะแม่นเสมอ มีหลายครั้งที่เรียก ผู้สมัคร สส. มาติวเข้ม หากใครตาม ก็สั่งให้เร่งทำแต้ม หากใครนำไม่มาก ก็จะโดนกำชับให้ปิดช่องโหว่ ซึ่งการคำนวณผลแพ้ชนะการเลือกตั้งค่อนข้างแม่นยำ

สไตล์การเมืองของ “เนวิน” มักวางรากฐานเกาะการเมืองกับบ้านใหญ่ สร้างบริบททางการเมืองให้ “ภูมิใจไทย” มีอำนาจต่อรองได้ตลอดเวลา

สำหรับตัวของ “เนวิน” ผ่านการดำรงตำแหน่งทางการเมืองบนเก้าอี้สำคัญค่อนข้างมาก แต่ท้ายสุดกลับพบว่าการเลือกไม่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยแฝงตัวอยู่เบื้องหลังทรงพลังมากกว่า

“เนวิน” เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “ประเทศไทยกับการเมืองไทย ไม่มีมิตรแท้ ไม่มีศัตรูถาวร และสิ่งมันเป็นกลไกสำคัญที่สุดของประชาชนในวันลงคะแนน จะเป็นตัวบังคับให้นักการเมืองรู้ว่าประชาชนต้องการอะไร... เรื่องแบ่งขั้วเลิกคิดได้แล้ว หากเรายังแบ่งขั้วแบ่งสี บ้านเมืองก็เดินไปไม่ได้”

แนวคิดการเมืองสไตล์ “เนวิน” ย่อมหวังผลลัพธ์ให้ที่ออกมาให้เป็นผลบวก โดยไม่อิงกับกระแสทางการเมือง

ทั้ง “ทักษิณ-ธนาธร-เนวิน” คือ 3 บุคคลหลังฉากที่จะมีบทบาทอย่างสูงในการขับเคี่ยว การเมือง มีอำนาจกำหนดเกมเพื่อขับเคลื่อนอำนาจรัฐ ยิ่งในสถานการณ์ล่อแหลม เดิมพันความอยู่รอดของ “อนุรักษนิยม” ทุกก้าวย่างของ 3 คีย์แมน สามารถสร้างจุดเปลี่ยนการเมืองประเทศไทยได้ทุกเวลา

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์