รหัสลับบ้านจันทร์ ดัน ‘ชัยเกษม’ เกมเร็ว ‘ทักษิณ’ ปิดช่อง ‘ดุลสีน้ำเงิน’

มติศาลรัฐธรรมนูญ 5 ต่อ 4 เสียง วินิจฉัยให้นายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” พ้นจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบ มาตรา 160 (4) และ (5) จากกรณีแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตน เป็นการก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของผู้ดำรงตำแหน่งนายกฯ อาจจะกระทบกระเทือนต่อศรัทธาของประชาชน

ส่งผลให้ฉากทัศน์การเมืองหลังจากนี้ดำเนินไปสู่ “จุดพลิก” ทางดุลอำนาจอีกครั้ง นาทีนี้แม้ฟากฝั่งพรรคเพื่อไทย จะยังหวังว่าคำวินิจฉัยฉบับเต็มที่จะมีการเผยแพร่หลังจากนี้ จะยังพอมีช่องลอด เปิดทาง “นายกฯ เศรษฐา” คัมแบ็กในฐานะแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทยอีกครั้ง 

แต่อย่างที่รู้กันคำวินิจฉัยที่ออกมาถือว่ามีความชัดเจนในตัว ฉะนั้นโอกาส “เศรษฐา” คัมแบ็กในฐานะแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทยอีกครั้งเรียกได้ว่า “เป็นศูนย์” 

สัญญาณการเมืองเวลานี้กลับมีการมองข้ามช็อตไปถึงนายกรัฐมนตรีคนต่อไป  ปัจจุบันแคนดิเดตนายกฯ ในบัญชีที่พรรคการเมืองยื่นต่อ กกต. แบ่งเป็น 6 คน ในส่วนของ “พรรคร่วมรัฐบาล” ประกอบด้วยแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย คือ “แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรค และ “ชัยเกษม นิติสิริ” แคนดิเดตนายกฯ 

“อนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกฯ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ“พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” รองนายกฯ รมว.พลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ

แน่นอนว่าผลพวงจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมา ส่งผลให้สถานการณ์ในซีกรัฐบาล ดำเนินอยู่บน “ทางสองแพร่ง” โดยฉับพลัน

ทางแรก คณะรัฐมนตรีรักษาการใช้อำนาจยุบสภา  เพื่อเดินหน้าเข้าสู่กระบวนการจัดการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งจะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 45-60 วัน โดยผู้สมัคร สส.จะต้องสังกัดพรรคการเมืองภายใน 30 วันนับตั้งแต่ก่อนวันเลือกตั้ง นั่นคือ มีโอกาสให้ย้ายพรรคในช่วง 15-30 วันหลังยุบสภาฯ

ทว่าแนวทางนี้ "เป็นศูนย์" เพราะด้วยผลงานรวมถึงคะแนนนิยมรัฐบาลเวลานี้ยังไม่สู้ดีนัก ขืนยังล้างกระดานด้วยการยุบสภา และให้มีการเลือกตั้งใหม่ ก็มีแต่จะเพลี่ยงพล้ำให้กับฝ่ายตรงข้าม 

เป็นเช่นนี้จึงต้องไปลุ้นกันที่ “ทางเลือกที่สอง”  นั่นคือเสียงโหวตในสภา  ซึ่งล่าสุดมีสัญญาณมาจากพรรคร่วมรัฐบาลจะมีขึ้นในวันที่ 16 ส.ค.67

โดยตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญ โดยให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบ “แคนดิเดตนายกฯ” คนใหม่ ตามบัญชีรายชื่อนายกฯ ที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ต่อ กกต.เท่านั้น

โดยไม่สามารถเสนอชื่อบุคคลภายนอกตามบทเฉพาะกาลมาตรา 272 ได้ เนื่องจากสิ้นสุดระยะเวลา 5 ปี ตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว

โดยตามขั้นตอน บุคคลที่ถูกเสนอชื่อจะต้องมี สส.เสนอชื่อไม่น้อยกว่า “ร้อยละห้า” ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภา และต้องมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่า “หนึ่งในสิบ” ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มี

ขณะที่มติของสภาผู้แทนราษฎรที่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องกระทำโดยการลงคะแนนโดยเปิดเผย และมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภา

ลึกๆ แล้ว "ทักษิณ ชินวัตร" นายใหญ่เพื่อไทย อาจได้รับสัญญาณที่ไม่ค่อยสู้ดีก่อนวันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย ตอกย้ำชัดจากการเดินทางไปยังตึกชินวัตร 3  เมื่อวันที่ 13 ส.ค.67 เพื่อร่วมพูดคุยกับ สส.ที่เข้าร่วมประชุมพรรค  

กระทั่งเกมเริ่มชัดหลังศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยไม่กี่ชั่วโมง “วอร์รูมลับจันทร์ส่องหล้า” ได้ถูกเปิดขึ้นแบบปัจจุบันทันด่วนช่วงเย็นวันที่ 14 ส.ค.67 “นายใหญ่เพื่อไทย” ชิงปิดเกมด้วยการรักษาดุลอำนาจสีแดงอยู่ในมือ 

ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีการปล่อยสูตรถ่ายดุลอำนาจจาก “สีแดง”  ไปที่สี “น้ำเงิน”  ท่ามกระแสข่าว “แพทองธาร” ยังไม่พร้อมขึ้นแท่นนายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 2 ส่วน “ชัยเกษม” ยังมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ทำให้หวยไปล็อกที่ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย

ภายดีลอย่างไม่เป็นทางการ เหมือนทีเล่น แต่ก็เหมือนทีจริง ที่ “เสี่ยหนู” แลกเปลี่ยนกับ “นายใหญ่เพื่อไทย” ถึงคิวนายกฯ ลำดับถัดไป หากเป็น “อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร” เขาพร้อมหลีกทางให้ แต่หากไม่พร้อมเขาก็อาจมีลุ้น 

ทว่าสัญญาณดังกล่าวกลับสวนทางกลับเสียงเรียกร้องจาก "นักเลือกตั้ง" พรรคเพื่อไทย ต่อการรักษาดุลอำนาจในฐานะ “เบอร์หนึ่งในขั้วรัฐบาล” ด้วยการแบก 2 แคนดิเดตนายกฯ ไม่ว่าจะเป็น “แพทองธาร” หรือ “ชัยเกษม” คนใดคนหนึ่งขึ้นเป็นนายกฯ เพื่อรักษาดุลอำนาจสีแดงให้อยู่ในมือ 

เพราะไม่เช่นนั้น ในระยะยาวไม่เพียงแต่ดุลอำนาจสีแดงที่จะเสียให้สีน้ำเงินที่เวลานี้ปกคลุมทั้งสภาสูง และสภาล่างแต่เพียงเท่านั้น แต่อาจส่งผลสร้างแต้มต่อรองสีน้ำเงินให้มีมากขึ้น มิหนำซ้ำอาจลามไปถึงการช่วงชิงคะแนนนิยม ตุนกระสุนในการเลือกตั้งครั้งหน้าอีกด้วย  

ต้องยอมรับว่า แม้เวลานี้  “นายใหญ่เพื่อไทย”  และ “นายใหญ่บุรีรัมย์” เนวิน ชิดชอบ จะปิดตำนาน "มันจบแล้วครับนาย" ลงชั่วขณะ ไม่ต่างจากเพื่อไทย และภูมิใจไทยที่ยังคงต้องกอดคอร่วมหัวจมท้ายในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล

แต่ในเชิงดุลอำนาจแล้วยังมีความจำเป็นต้องคานอำนาจซึ่งกัน และกันไว้ก่อน เพื่อมิให้เสียเปรียบ เช่นนี้อาจยังจำเป็นต้องซ่อนดาบไว้ภายใต้รอยยิ้ม เพื่อกันพลั้งพลาด 

แน่นอนว่า สัญญาณดังกล่าวนายใหญ่บ้านจันทร์ย่อมรู้ดี จึงอาจเป็นเหตุผลว่า “วอร์รูมลับจันทร์ส่องหล้า” เมื่อช่วงเย็นวันที่ 14 ส.ค.67 มีการทุบโต๊ะให้นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 จะยังเป็นคนของพรรคเพื่อไทย 

นาทีนี้มีสัญญาณว่า  “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ส่งสัญญาณ“หลีกทาง” ยังไม่พร้อมนั่งนายกรัฐมนตรีหญิง

ทำให้ผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 แทน “เศรษฐา ทวีสิน” อดีตนายกรัฐมนตรี จะเหลือแค่ “ชัยเกษม” 1 ใน 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย 

ทว่าอีกกระแสยังเชียร์ให้ “นายน้อย” เพื่อไทยขึ้นแท่นผู้นำเสียเอง 

ต้องจับตาวันที่ 16 ส.ค.67 ซึ่งสภาฯนัดประชุมเพื่อเลือกนายกฯ คนที่ 31 ของไทย สอดรับกับสัญญาณ“นายใหญ่บ้านจันทร์ฯ” ที่ชิงเกมเร็วปิดจ็อบเพื่อลดแรงกระเพื่อมที่อาจเกิดขึ้นหลังจากนี้ 

ในห้วงที่ประเทศไทยกำลังเปลี่ยนผ่านจากนายกฯ คนที่ 30 ไปสู่นายกฯ คนที่ 31 ในรอบไม่ถึงปี การเมืองยังต้องจับตาช็อตต่อช็อต โดยเฉพาะในวันที่ 31 ส.ค.67 นี้ ซึ่ง “นายใหญ่เพื่อไทย”  พ้นโทษ ถือเป็นสัญญาณออกสู่หน้าฉากอย่างเต็มตัว ไม่ต่างจากเกมการเมืองที่จะได้เห็นอะไรต่อมิอะไรอีกมากหลังจากนี้ 

โดยเฉพาะ "เกมอำนาจ" ในขั้วรัฐบาลที่อาจกำลังเปิดฉากต่อรองระลอกใหม่หลังจากนี้! 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์