'กมธ.งบฯ เสียงข้างน้อย' หวั่นจัดเก็บรายได้ไม่เข้าเป้า เสี่ยงวิกฤตการคลัง
"ศิริกัญญา-วีระ" ชงลดงบฯ68 ลง กังวลรัฐจัดเก็บรายได้ไม่เข้าเป้า เหตุรัฐไม่ปรับนโยบายเพื่อรับมือวิกฤต เตือนประเทศเจอวิกฤตการคลัง กู้จนชนเพดาน
ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาฯ วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ในวาระสอง เป็นวันแรก ในส่วนของการพิจารณา มาตรา 4 ซึ่งเป็นภาพรวมของการตั้งงบประมาณ รวม 3.75 ล้านล้านบาท
โดย น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อย ที่ขอปรับลดงบประมาณลง 2 แสนล้านบาท เพื่อไว้รองรับในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน อย่างไรก็ดีในการพิจารณาของกมธ. พบว่ามีหน่วยงานรับงบประมาณที่ถูกตัดงบสูงสุด คือ
1.รัฐวิสาหกิจที่ ส่วนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) ถูกตัดงบประมาณส่วนของแผนยุทธศาสตร์ทั้งหมด
2.กระทรวงอุตสาหกรรม ถูกปรับลดงบประมาณลงเกือบ 7% โดยที่ถูกตัดไปคือโครงการหนึ่งหมู่บ้านหนึ่งเชฟ
3.กระทรวงการคลัง 4.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่มีการตั้งงบซ้ำซ้อนคือเซลล์บรอดแคสต์ ที่จะช่วยเตือนภัย กมธ.ตัดงบประมาณ จำนวน 200 ล้านบาทเนื่องจากไปซ้ำซ้อนกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ของกระทรวงมหาดไทย 5.กระทรวงพลังงาน 6.สำนักนายกรัฐมนตรี และ 7.กระทรวงกลาโหม รวมแล้ว 4 หมื่นกว่าล้าน
น.ส.ศิริกัญญา อภิปรายด้วยว่าา เหตุที่ต้องปรับลดงบประมาณในปี 2568 ลง เนื่องจากเราไม่ได้มีความสามารถหรือกำลังมากพอที่จะใช้จ่ายมากถึง 3.75 ล้านล้านบาท เนื่องจากเชื่อว่าจะไม่สามารถจัดเก็บรายได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ ทั้งนี้ในเดือนธ.ค. 2566 ตั้งงบประมาณไว้ 3.60 ล้านล้านบาท และบอกว่าจะสามารถจัดเก็บรายได้ได้ 2.88 ล้านล้านบาท คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะโต 3.2% - 3.6% แต่เหตุการณ์ก็เปลี่ยนมามากคือเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลง และบอกว่าเศรษฐกิจจะโตเพียงแค่ 2.5% ในเดือนพ.ค.2567 ที่ตั้งงบขาดดุลสูงเกือบชนเพดาน ขาดเพียงแค่ 5 พันล้านบาท หนี้สาธารณะสูงขึ้นเกือบ 66% หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 4%
"แม้เหตุการณ์จะมีการเปลี่ยนแปลงแต่งบประมาณของปี 2568 ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนเลย โดยเฉพาะประมาณการรายได้ ดังนั้นจึงสมควรที่จะปรับลดงบประมาณลง ยกตัวอย่างเช่น กรมสรรสามิต ในปี 2567 ที่ตั้งเป้าไว้ว่าจะจัดเก็บรายได้ได้ประมาณ 5.98 แสนล้านบาท แต่เก็บจริงได้ไม่น่าเกิน 5.30 แสนล้านบาท เนื่องจากมีการปรับลดภาษีน้ำมันเพื่อช่วยเหลือเรื่องค่าครองชีพ และในปี 2568 ก็ตั้งเป้าไว้อย่างท้าทายว่าจะจัดเก็บรายได้ถึง 6.09 แสนล้านบาท เพราะนโยบายอุดหนุนภาษี EV ก็ยังไม่มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลง ขณะที่ภาษีบุหรี่ก็ไม่มีการปรับปรุงนโยบายแต่อย่างใด จากการที่เราไม่สามารถจัดเก็บภาษีของบุหรี่ได้ตามเป้า" น.ส.ศิริกัญญา อภิปราย
ขณะที่ นายวีระ ธีระภัทรานนท์ กมธ.เสียงข้างน้อย อภิปรายขอตัดลดงบประมาณรายจ่ายประจำปี2568 ลง 1.7แสนล้านบาท เนื่องจากกังวลถึงสถานการณ์ทางการคลังของประเทศ ว่า ขณะนี้เรามีหนี้สาธารณะ ณ เดือนมิ.ย.2567 อยู่ที่ 11.54 ล้านล้านบาท คาดว่าภายในสิ้นปี2568 จะทะลุ 12ล้านล้านบาท อาจถึง 13ล้านล้านบาท ในอีก 3-5ปี ถ้ารัฐบาลยังจัดงบแบบขาดดุล และกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุล จะมีปัญหาการเงินการคลังภาครัฐหนักหนาสาหัส ขณะที่งบประมาณรายจ่ายประจำปี2568 มีรายจ่ายประจำอยู่ที่ 2.7 ล้านล้านบาท รายจ่ายลงทุน 9แสนล้านบาท และรายจ่ายชำระคืนเงินต้น ดอกเบี้ย 1.5 แสนล้านบาท โดยรายจ่ายประจำไม่ลดลง แต่เพิ่มขึ้นตลอด เงินทุกบาททุกสตางค์ล้วนเป็นเงินกู้ ที่ต้องหาเงินต้น ดอกเบี้ยมาใช้คืนในอนาคต
“นี่คือสัญญาณอันตรายที่จะเกิดวิกฤติในอนาคต แม้อ้างว่า การดำเนินการต่างๆ อยู่ในกรอบวินัยการเงิน การคลัง ทำตามกฎหมาย ก็นำไปสู่หายนะได้ ถ้าทำอย่างไม่ระวังรอบคอบ ขณะนี้รัฐบาลมียอดค้างชำระเงินต้น ดอกเบี้ย ณ วันที่ 30ก.ย.2566 จำนวน 1.04 ล้านล้านบาท แต่ปัจจุบันไม่รู้มีเท่าใด เพราะไม่มีการเปิดเผย เป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลาย สถานะการเงินรัฐบาลในปัจจุบัน และอนาคต หากไม่ยับยั้งจะเกิดวิกฤติการคลัง”นายวีระ อภิปราย
นายวีระ อภิปรายต่อว่า ตนมีข้อเสนอคือ 1.การจัดทำงบรายจ่ายตั้งแต่ปี2569 ต้องทำงบแบบไม่เพิ่มวงเงินรายจ่ายอีกแล้ว อย่างน้อย 3ปี จนกว่า ความเสี่ยงทางการคลังจะลดลง เข้าสู่การบริหารจัดการได้อย่างเหมาะสม 2.งบรายจ่ายปี2569 ต้องหยุดสร้างภาระการคลังในอนาคต ให้สถาบันการเงินของรัฐ ออกเงินแทนรัฐบาลไปก่อน และให้รัฐชดใช้คืนภายหลัง รวมถึงการเร่งชำระเงินต้น ดอกเบี้ยคงค้าง 1 ล้านล้านบาท จนกว่าเงินต้นจะลดลง ถ้าไม่ทำอาจประสบภาวะวิกฤติการคลังในอนาคต.