ระวัง‘ชินวัตร’ ลับ ลวง พราง ‘ภราดร’ อ่านเกม ล้ม‘รัฐบาลอิ๊งค์’
พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการ สมช.อ่านทิศทางการเมืองหลังรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร เข้ามาบริหารประเทศ ต้องเผชิญกับเกมนอกสภาของบรรดานักร้องเดินเกมยื่นร้องตัวนายกฯ ผ่านองค์กรอิสระ ซึ่งมีความสุ่มเสี่ยงอาจซ้ำรอยกับ นายกฯ เศรษฐา ได้
KEY
POINTS
- พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร ประเมินสถานการณ์การเดินเกมของนักร้องนอกสภาฯ อาจสุ่มเสี่ยงทำให้รัฐบาลแพทองธารต้องสั่นคลอนได้
- รัฐบาลแพทองธาร ประกอบกำลังด้วยหลายพรรค เปรียบเสมือน รัฐบาลรวมพลคนเสียสัตย์
- รัฐบาลเพื่อไทย มี "ทักษิณ ชินวัตร" เป็นผู้นำจิตวิญญาณ หากเรื่องร้องเรียนมีผลกระทบต่อตัว "ทักษิณ" ย่อมส่งผลถึงตัวนายกฯ ได้
- พล.ท.ภราดร ยังเชื่อว่าปลายทางของ "แพทองธาร" จะเลือกวิธียุบสภาฯ
- อดีตเลขาฯ สมช.เชื่อว่า "ทักษิณ-พจมาน" ไม่ต้องการให้บุตรสาวซ้ำรอยบิดาและอา
“มันเหนื่อยกว่านายกฯ เศรษฐา ทวีสิน” พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) หรือ เสธ.แมว ระบุผ่าน “กรุงเทพธุรกิจ” ถึงสถานการณ์ของรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ที่เพิ่งเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน แต่กลับต้องเผชิญข้อกล่าวหา ผ่านการเดินเกมของนักร้องนอกสภาฯ ทั้งขั้วต้านระบอบชินวัตร ทั้งจากสายบ้านป่าฯ เขย่ารัฐบาลในประเด็นฝ่าฝืนจริยธรรมในการแต่งรัฐมนตรี
รวมถึงประเด็นข้อกล่าวหา “ทักษิณ ชินวัตร” ครอบครอง ซึ่งมีผลถึงขั้นยุบพรรคเพื่อไทย และกรรมการบริหารพรรคยังเสี่ยงถูกตัดสิทธิทางการเมือง
“พล.ท.ภราดร” อ่านเกมโค่นนายกฯ ตระกูลชินวัตรครั้งนี้ว่า “ถ้าท่านทักษิณไปก่อน มันก็เหมือนรัฐบาลจะไม่เจ๊ง แต่จริงๆ คือเจ๊ง เพราะว่าแบ็คไม่มี กองหลังไม่มี ความแข็งแกร่งของตัวรัฐบาลไม่ได้อยู่ที่ตัวนายกฯ มันอยู่ที่อดีตนายกฯทักษิณ เป็นตัวพลังอยู่ข้างหลัง”
นอกจากนี้ยังมีประเด็นล่อแหลมที่อาจกระทบมาถึงผู้นำจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย คือ การเจ็บป่วยและรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว
“ตอนนี้ก็เริ่มมีการไปร้องแล้วว่า ป่วยไม่จริง ป่วยทิพย์ อยู่โรงพยาบาลจริงๆ ไหม อยู่บ้าง ไม่อยู่บ้างไหม ขณะเดียวกันคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ก็เข้าไปตรวจสอบแล้ว แล้วชี้ว่าจริงๆ เกิดความไม่เท่าเทียม ความไม่เสมอภาคเป็นประเด็นคดีได้ ยื่นไว้ที่ ป.ป.ช. ก็มีข่าวสารอีกว่าแพทยสภา สภาวิชาชีพก็ตรวจสอบหมอของ รพ.ตำรวจ และ รพ.ราชทัณฑ์แล้ว ล่อแหลมผิดจริยธรรมไหม เร็วๆ นี้น่าจะทราบผล ถ้าผลเป็นเชิงลบ ไปประกบกับ กสม.ร้องไว้”
พล.ท.ภราดร ชี้ว่า สุดท้ายปลายทางจะไปกระทบ“ทักษิณ” เอง หากผู้นำจิตวิญญาณมีอันเป็นไป ก็มีผลต่อรัฐบาล นอกจากนั้นยังมีประเด็นถูกร้องให้ยุบพรรคเพื่อไทยในประเด็น “ทักษิณ” ครอบครอง “แพทองธาร” ซึ่งมีความเสี่ยงมาก เพราะ "ครอบครอง" นั้นตามความหมายถือเป็นกรรมสิทธิ์
ภายหลัง "รัฐบาลแพทองธาร" เข้ามาบริหารราชการแผ่นดินอย่างเป็นทางการ “พล.ท.ภราดร” มองว่า อาการของรัฐบาลนี้ เหนื่อยกว่านายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เพราะ “เศรษฐา” ถูกร้องเพียงคดีเดียวในการแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรี แต่กรณี “แพทองธาร” ยังมีประเด็นคดีที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ ประเด็นถูกบิดาครอบงำ รวมถึงมีรัฐมนตรีที่ล่อแหลมที่เสี่ยงฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ซึ่งอาจซ้ำรอยกับคดีแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” เป็นรัฐมนตรีได้
“เจอแค่คุณเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ นักร้องอาชีพก็เหนื่อยแล้ว ครม.เหนื่อยหนักเพราะมีคนล่อแหลม ไม่ใช่เฉพาะพรรคเพื่อไทย ตัวท่านนายกฯ อาจจะเป็นต่างพรรคอีก ก็ยิ่งอาการหนักไปอีก เมื่อเกิดขึ้น จะกระทบความเชื่อมั่น กระทบเครดิตของนายกฯ”
พล.ท.ภราดร ยอมรับว่า กลุ่มอำนาจเก่ายังมีกลไกขององค์กรอิสระจัดการกับรัฐบาลได้ เพราะเสียงในสภาฯ ไม่สามารถล้มรัฐบาลได้ จึงต้องเคลื่อนไหวผ่านการร้องเรียนใช้คณะกรรมการ ป.ป.ช. กกต. องค์กรอิสระเหล่านี้
อดีตเลขาธิการ สมช. ระบุว่า กรณีนายกฯ เศรษฐา เราเห็นชัดใครจะไปคาดถึง จริงๆ นายกฯ เศรษฐา หลุดด้วยคะแนนเสียงคนเดียวเท่านั้น คือ 5 ต่อ 4 คนเดียวทำให้หลุด ตรงนี้ชี้ให้เห็นเลยว่ารัฐธรรมนูญมีปัญหา
“จากปัจจัยภายนอกมันจะล่อแหลม ปัจจัยภายในรัฐบาลมีเสียงสบายๆ 320 สบายๆ แต่จริงๆ ไม่สบายหรอก เพราะเป็นการรวมกันแบบหลวมๆ แต่ปัจจัยภายนอกที่จะมาจัดการ ใช้มือคนไม่กี่คนขององค์กรอิสระมาจัดการได้แล้ว”
รัฐบาลหลวมๆ รวมพลคนเสียสัตย์
พล.ท.ภราดร ชี้ว่าพรรคร่วมรัฐบาล 300 กว่าเสียง แต่มีพรรคเพื่อไทยจริงๆ แค่ 141 เสียง นอกนั้น ที่มีมือมาจับก็แค่หลวมๆ เพราะเป็นขั้วตรงข้าม ข้ามขั้วมาจับมือก็ยิ่งไม่แน่น พอเป็นการข้ามขั้วแล้วเป็นการเหมือนเสียสัตย์ มารวมพลคนเสียสัตย์ พรรคเพื่อไทยเสียภาพเรื่องเสียสัตย์เพื่อชาติแล้ว พอมาเจอพรรคประชาธิปัตย์คู่กรณีตรงข้ามเข้ามาร่วม
"แล้วหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นภาพลักษณ์ของการเสียสัตย์อีก เพราะการเลือกตั้งคราวที่แล้วที่แพ้ก็บอกเลิกเล่นการเมืองตลอดชีวิต ที่ไหนได้ โผล่มาเป็นหัวหน้าพรรค ไม่พอมาเป็นรัฐมนตรีอีก เมื่อกลุ่มคนไม่มีเครดิตเรื่องสัจจะวาจามารวมกัน ก็หวาดระแวง ต่างฝ่ายต่างไม่เชื่อกัน ต้องมีการต่อรองอยู่ตลอดเวลา”
พล.ท.ภราดร ระบุว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีเสถียรภาพที่เหนือกว่ารัฐบาลแพทองธาร แต่ ครม.แพทองธาร ปรากฎว่ามีคนใหม่เป็นคนรุ่นใหม่จริง แต่กลับไม่มีพลัง
บ้านป่าฯ ยังมีฤทธิ์ผ่านมือองค์กรอิสระได้
เมื่อถามว่า อิทธิฤทธิ์ของพรรคพลังประชารัฐที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหัวหน้าพรรค พล.ท.ภราดร ระบุว่า “ยังมีฤทธิ์เดชอยู่แน่นอน เพราะทุกคนยังเชื่อว่า ป.ป.ช.กับศาลรัฐธรรมนูญ เขายังเกี่ยวข้องได้ เขาใช้มือไม่เท่าไร ก็สามารถชี้ขาดได้แล้ว ฉะนั้นเขาไม่ได้สนใจหรอก พรรคฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาลจะต้องไปหาเสียง ไม่ต้อง เขาเอาประเด็นที่มันชัด แล้วเชื่อมั่นว่า พอเข้าสู่กระบวนการนี้ จัดการได้”
ชี้จุดเสี่ยงร่วงนายกฯ ปมที่ดินสงฆ์
ส่วนประเด็นจุดเสี่ยงจุดร่วงที่ล่อแหลม กับที่เป็นหมัดหนัก ล้มนายกฯ“แพทองธาร”นั้น พล.ท.ภราดร มองว่า คดีธรณีสงฆ์ของยายเนื่อม ซึ่งเป็นที่ตั้งของสนามกอล์ฟอัลไพน์ เพราะนักกฎหมายดูเทียบเคียงกับกรณีของ “ปารีณา ไกรคุปต์” อดีตสส.ราชบุรี ที่พ่อให้ที่ดิน ส.ป.ก.มา แล้วก็โดนเรื่องจริยธรรม
“เป็นแบบเดียวกันเลย เขาบอกเพียงเปลี่ยนที่ดิน ส.ป.ก.เป็นที่วัดเท่านั้น สำนวนก็แบบเดียวกัน แล้วที่วัดชัดกว่า เพราะมีคำพิพากษาศาลฎีกาตัวเป็นชี้เลยว่า ที่ดินแปลงนี้ ที่อัลไพน์ครอบครองเป็นที่วัด สู้มายาวนาน แต่จบแบบเบ็ดเสร็จตอนปี 2562 แล้วคำพิพากษาศาลฎีกายึดว่าที่ดินแปลงนี้เป็นที่วัด ปัญหาคือ บริษัทอัลไพน์ยังครองมาตั้งแต่ปี 2562 จนถึงปัจจุบัน ก็จะเป็นแง่ของจริยธรรม”
พล.ท.ภราดร มองเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวพันตัว “แพทองธาร” รวมแล้วกว่า 10 คำร้องว่า ถ้าเกิดศาลประทับรับฟ้องขึ้นมาแล้วบอกว่ามีมูลให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ก็ยิ่งจบเลย เท่ากับเข้ามาเป็นนายกฯ ไม่ได้ทำงานเลย ความเชื่อมั่นจะกระทบภาพรวมทั้งหมดเลย
"ตอนนี้โดนซ้อมหมัดไปก่อนก็ 3-4 คดีไปแล้ว"
"ทักษิณ-พจมาน" ระวัง "อิ๊งค์" ซ้ำรอยพ่อ-อา
เมื่อถามถึง การมี “ทักษิณ”และมีคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อยู่ฉากหลังนายกฯ จะช่วยประคองรัฐบาลได้หรือไม่ พล.ท.ภราดร ระบุว่า เหมือนมียักษ์ประคองอยู่ข้างหลัง แต่จริงๆ แล้วไม่ได้มีพลังอยู่เท่าไร เพราะเวลากรณีถูกชี้มูลความผิดขึ้นมา มันจะกลายเป็นว่ายิ่งมีความระมัดระวัง คุณหญิงพจมานคงอาจจะไม่อยากให้ลูกไปสุ่มเสี่ยง
“คิดว่าไม่ไปถึงรัฐประหาร เพราะว่านายกฯ อิ๊งค์ แม้กระทั่งพอเกิดความล่อแหลม ยังเชื่อมั่นว่าอาจจะถูกบังคับวิถีคุณพ่อคุณแม่ เพื่อไม่อยากให้เป็นบทเรียนให้ลูกสาว ต้องเหมือนคุณพ่อหรือคุณอา”
พล.ท.ภราดร ยังเชื่อว่า ณ บริบท ตอนนี้ กับข้อเท็จจริงมันปรากฏแล้ว ถึงได้กระแสข่าวว่ารัฐบาลชุดนี้อายุสั้นแน่ คือส่วนใหญ่ให้เป็นหลักเดือน ไม่ใช่หลักปี และบางคนบอกว่าอายุสั้นเพียงแค่ 3 เดือน
“ใครจะไปก่อนเท่านั้น ถ้าสมมติแพทองธาร ไปก่อนก็จบไปแล้วรัฐบาล รัฐบาลต้องเจ๊งไปอยู่แล้ว ถ้าท่านทักษิณไปก่อน มันก็เหมือนรัฐบาลจะไม่เจ๊ง แต่จริงๆ คือ เจ๊ง เพราะว่าแบ็คไม่มี กองหลังไม่มี”
ต่อข้อถามว่า ในสนามเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคเพื่อไทยจะเหนื่อยหนักหรือไม่ พล.ท.ภราดร ตอบว่า “เหนื่อยมาก ไม่ใช่เหนื่อยไหม แล้วดีไม่ดี คนตั้งคำถามมันจะมีในสนามสู้รบคราวหน้าหรือไม่ เพราะคนจะมองไปว่าท่านทักษิณ มาคราวนี้ เพื่อแก้ปัญหาในส่วนของตนแล้วก็มาล้างแค้นแล้วก็จบไป พรรคเพื่อไทย ตัวใครตัวมัน จริงๆ ดีไม่ดี เหลือพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาชนที่แข็งแรงอยู่”
เตือนระวัง "ทักษิณ" สละเรือ "เพื่อไทย"
พล.ท.ภราดร ชี้ว่า “ต้องระวังคุณลักษณะแบบอดีตนายกฯ ทักษิณ เพราะท่านพร้อมจะเดินแบบท้าทาย ลุย แต่ขณะเดียวกันถ้าเจอทางตัน พร้อมกลับหลังหันทันที"
"ถ้าเปรียบเทียบเหมือนเรือรบหลวง เวลาเขาสละเรือ ผู้การเรือต้องสละเรือคนสุดท้าย ลูกเรือต้องไปก่อน แต่อันนี้ที่พึงระวัง ระวังผู้การจะสละก่อนลูกเรือ ได้อำนาจรัฐ วาระซ่อนเร้น ตัวเองได้กลับบ้าน น้องกลับบ้าน ลูกสาวได้เป็นนายกฯแล้ว ไม่ได้เป็นต่อก็ไม่เป็นไร ก็จบ”
เมื่อถามว่า แต่มรดกทางการเมืองของ “ทักษิณ” ต้องส่งต่อให้กับลูกสาว พล.ท.ภราดร บอกว่า ก็ลูกสาวขึ้นเป็นนายกฯแล้ว ไม่ต้องไปต่อก็กลับไปทำมาหากิน แต่ถ้าสมมติเกิดมีอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้นมา ก็เชื่อว่า “แพทองธาร” จะชิงลาออกหรือยุบสภาก่อนเพื่อไม่ให้ซ้ำรอยกับ “นายกฯ เศรษฐา”
“อย่าลืมนะคุณเศรษฐา กลายเป็นนายกฯ ที่เหมือนอีกหน่อยกลายเป็นโลกลืม ไม่มีคนรู้จัก ไม่มีผลงาน แต่ว่าอาการหนัก เพราะโดนออกไปเพราะศาลชี้ว่าไม่ซื่อสัตย์สุจริต ผมก็เชื่อมั่นว่าคุณทักษิณ และคุณหญิงอ้อ (พจมาน) ไม่ประสงค์ให้ลูกสาวต้องมาโดนข้อหาแบบนี้หรอก”
ต่อข้อถามว่า ระหว่างยุบสภาฯ กับนายกฯ โดนสอยออกจากตำแหน่ง จะเป็นไปได้พอกันหรือไม่ พล.ท.ภราดร ระบุว่า “ถ้าจะถูกสอย มันอาจไปสู่การยุบสภาฯก่อน เพราะถ้าโดนสอย จะจบด้วยข้อหาไม่ซื่อสัตย์สุจริต แล้วก็ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง จะเป็นข้อหาแบบเศรษฐาติดตัวไปจนตาย ฉะนั้นต้องโดดหนีออกก่อน ก็คือ 2 ทางเท่านั้น ลาออก กับยุบสภาฯ”
“พอยุบสภาตอนนี้ มันจบแล้ว พรรคเพื่อไทยจะไปชนะได้อย่างไร คือถ้ายุบสภาฯ เท่ากับว่าตระกูลชินวัตรถอยห่างออกจากการเมืองแล้ว มันเหมือน ลับ ลวง พราง อันนี้พวกนักการเมืองเริ่มหวาดระแวง และระวังตัวแล้ว”
"ระวังจะเจอตัวนี้นะ แบบ (ทักษิณ) โบกมือลาทางการเมือง ส่วนพรรคเพื่อไทยก็จะไปยังไง ไม่มีกลุ่มทุนแล้วใช่ไหม แต่ว่า สส.พวกบ้านใหญ่ก็ไปของเขาได้เอง"
คำพยากรณ์ทิ้งท้ายของ อดีตเลขาธิการ สมช.ยังคงย้ำคำเดิมว่า อายุรัฐบาลชุดนี้สั้นอยู่แล้ว และไม่อยู่ครบวาระอยู่แล้ว รวมทั้งไปเร็วกว่าที่หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์