ผวา 'มือที่มองไม่เห็น' พิฆาต "อิ๊งค์' 'พท.' ถอยแก้ รธน. รื้อ 'จริยธรรม'
“พรรคเพื่อไทย” ชะงักปมแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตราเกี่ยวกับคุณสมบัติรัฐมนตรี ว่าด้วย “จริยธรรม” เพราะมองว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้สุ่มเสี่ยงได้ไม่คุ้มเสียจนอาจส่งผลต่อสถานะของนายกฯ “แพทองธาร”
KEY
POINTS
- รัฐบาลพรรคเพื่อไทยยังมีสิ่งที่น่ากังวลในประเด็นร้อนเรื่องฝ่าฝืนจริยธรรมที่มีการมองว่า "แพทองธาร" อาจซ้ำรอย "เศรษฐา"
- "พรรคเพื่อไทย" ประเมินสถานการณ์มีความเสี่ยงสูงและได้ไม่คุ้มเสียหากเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็น "จริยธรรม"
- อดีตเลขาฯ สมช.วิเคราะห์สิ่งบอกเหตุ "พรรคเพื่อไทย" ชะงักประเด็น "จริยธรรม" เพราะได้สัญญาณ "มือที่มองไม่เห็น"
"เขาถอยกัน กลัวจะได้ไม่คุ้มเสีย ถ้ายังผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นคุณสมบัติรัฐมนตรีเกี่ยวกับจริยธรรม" แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย ระบุถึงเหตุที่ พรรคเพื่อไทยต้องหยุดชะงักประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยคุณสมบัติของรัฐมนตรี
แม้จะไม่ใช่มติพรรคอย่างเป็นทางการ แต่ "เพื่อไทย" ต้องพับเก็บประเด็นสายล่อฟ้านี้ออกไปก่อน
เป็นท่าทีที่เกิดขึ้นหลังจากพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น พรรคภูมิใจไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ ยังไม่รับลูกขานรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นร้อนดังกล่าว
เพราะ "พรรคเพื่อไทย" มองว่าหากยังเดินหน้าผลักดันต่อก็เท่ากับเป็นการสร้างเงื่อนไขทางการเมืองว่าเป็นการแก้ไขเพื่อประโยชน์ของตัวเองได้
แม้ในทางการเมือง การแก้ไขปมร้อนว่าด้วยเรื่อง "ไม่ซื่อสัตย์สุจริต" และ "ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง" ถือเป็นปมปัญหาใหญ่ที่อาจเป็นเครื่องประหารชีวิตนักการเมืองได้
ซึ่งเป้าใหญ่หนีไม่พ้น "แพทองธาร ชินวัตร" นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันที่สุ่มเสี่ยงจะถูกสอยลงจากตำแหน่งด้วย ทั้งจากศาลรัฐธรรรมนูญ หรือแม้แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ซ้ำรอย "เศรษฐา ทวีสิน" อดีตนายกฯ
อย่าลืมว่า ในอดีต พรรคพลังประชาชนที่มี "สมัคร สุนทรเวช" เป็นหัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2551 เคยเพลี่ยงพล้ำมาแล้ว จากการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ในประเด็นมาตรา 237 ว่าด้วยการยุบพรรรคและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค รวมทั้งมาตรา 309 เกี่ยวกับการนิรโทษกรรรมการรัฐประหารเมื่อปี 2549 จนถูกม็อบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จุดกระแสโค่นล้มรัฐบาล ลามไปสู่การยึดทำเนียบฯ และต่อมาศาลรัฐธรรมนูญก็ยุบพรรคพลังประชาชนในท้ายที่สุด
ถึงแม้เชิงลึก บรรดาพรรคร่วมรัฐบาลก็ไม่อยากเก็บประเด็นปัญหาคุณสมบัตินี้ไว้ก็ตาม เพราะเกรงว่าจะทำให้เกิดปัญหาในอนาคตได้
ในขณะที่พรรคฝ่ายค้าน "พรรคประชาชน" ยังคงยืนยันจุดยืนผลักดันร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม รายมาตราในประเด็นคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานจริยธรรม เพราะบรรดาผู้แทนพรรคเฉดส้มมองเห็นกรณี "พรรณิการ์ วานิช" อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ ก็ถูกประเด็นมาตรฐานทางจริยธรรม ตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิตมาแล้ว
ด้าน พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) วิเคราะห์ถึงการกลับลำของ "พรรคเพื่อไทย" ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นฝ่าฝืนจริยธรรม ว่า นี่คือสิ่งบอกเหตุ ถึง“มือที่มองไม่เห็น” ที่กำลังจะกลับมา ขณะเดียวกันก็เป็นความอ่อนด้อยของพรรคเพื่อไทยด้วย เพราะก่อนที่พรรคร่วมรัฐบาลจะตลบหลังนั้น ต้องมีการพูดคุยกันในหมู่พรรคร่วมรัฐบาลกันก่อนอยู่แล้ว และที่สำคัญพรรครวมไทยสร้างชาติ ก็รู้อยู่ใครอยู่ข้างหลัง
“จริงๆ กระบวนการแก้ไขมาตรานี้ ควรต้องถูกแก้ไขเพื่อให้เกิดความชัดเจน ซึ่งอาจเป็นการแก้ไขทั้งฉบับเพื่อให้ มีการเลือกตั้ง สสร. แล้วให้ สสร.ว่าไปก็ได้ แต่ตอนนี้ ถ้ามองในเชิงยุทธศาสตร์ คือมีความพยายามจะใช้เครื่องมือเรื่องคุณสมบัติจัดการกับ แพทองธาร และทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เพราะถ้าจัดการท่านทักษิณได้ นายกฯก็ไม่มีพลังที่จะอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้"
"ถ้าสมมติ ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช.เกิดรับประเด็นเรื่องไม่ซื่อสัตย์สุจริต กับฝ่าฝืนจริยธรรม ก็มีผลเล่นงานนายกฯ อิ๊งค์ได้ ซึ่งนายกฯ คนต่อไปอาจเป็นของพรรคภูมิใจไทยหรือเป็นของ นายชัยเกษม นิติสิริ หรืออาจจะยุบสภาฯก็ได้” พล.ท.ภราดร ระบุ
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลพรรคเพื่อไทยยังมีสิ่งที่น่ากังวลในประเด็นร้อนเรื่องฝ่าฝืนจริยธรรมที่มีการมองว่า "แพทองธาร" อาจซ้ำรอย "เศรษฐา"
โดยเฉพาะประเด็นการแต่งตั้ง "สุรพงษ์ ปิยะโชติ" เป็น รมช.คมนาคม ซึ่งเคยถูกศาลจังหวัดกาญจนบุรี ได้มีคำพิพากษาในความผิดตาม พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 แต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษให้มีกำหนด 1 ปี
แน่นอนว่า การเก็บเครื่องมือตรงนี้ แม้พรรคร่วมรัฐบาลจะไม่ได้เต็มใจก็ตาม แต่ก็เป็นอีกเครื่องมือสำหรับ "ล็อกคอ" และจัดการกับ "พรรคเพื่อไทย" ได้ในอนาคต ในกรณีถึงจุดเปราะบาง หรือเพลี่ยงพล้ำทางการเมือง และเชื่อกันว่ามี "อำนาจ" ของ "มือที่มองไม่เห็น" คอยให้สัญญาณอยู่เบื้องหลัง