การเมือง‘เกาะกูด’จุดไต้ตำตอ ศึก‘พท.-พปชร.’ ถล่ม ‘ชาตินิยม-แบ่งผลประโยชน์’
การเมือง‘เกาะกูด’จุดไต้ตำตอ ศึก‘เพื่อไทย-พลังประชารัฐ’ ถล่ม ‘ชาตินิยม-แบ่งผลประโยชน์’ ปชป.เปิดเบื้องหลังแก้เผ็ด‘ทักษิณ-ฮุนเซ็น’ ยันMOU44ไม่มีปัญหา
KEY
POINTS
- ฝั่ง “บ้านป่ารอยต่อ” จุดไฟ “ชาตินิยม” ผูกโยง “MOU2544” ที่ “รัฐบาลทักษิณ” กับ “รัฐบาลฮุน เซน” เมื่อ 23 ปีก่อน เป็นต้นเหตุให้ประเทศไทยเสียอธิปไตยทางทะเล
-
“ค่ายบ้านจันทร์ฯ” เห็นชัดถึงเกมเอาคืนขุดไปถึงสมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีการฟื้นการเจรจารอบใหม่ แถมตั้ง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐในเวลานี้ ไปเป็นตัวแทนรัฐบาลไทยที่ไปเจรจากับรัฐบาลกัมพูชา
-
เบื้องหลังเสนอยกเลิกMOU44 เกมการเมือง รัฐบาลประชาธิปัตย์แก้เผ็ด"ทักษิณ" -สั่งสอน"สมเด็นฮุนเซ็น"
-
"ตัวเนื้อหาในMOUไม่มีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นฉบับ44ในรัฐบาลทักษิณ หรือฉบับ43ในรัฐบาลนายชวน หลีกภัย เนื้อหาก็คล้ายๆกัน ในแง่ที่ว่าเป็นการบ่งบอกซึ่งกันและกันระหว่างไทย-กัมพูชา ไม่ได้แปลว่าเรายอมรับเส้นแบ่งเขตแดนที่เขาขีดมาให้" “กษิต ภิรมย์” อดีตรมว.ต่างประเทศยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
-
ความสัมพันธ์ของผู้นำ2ประเทศ ทั้งหน้าฉาก-หลังฉาก ย่อมถูกจับตาโดยเฉพาะประเด็นการแบ่งเค้ก ผลประโยชน์มหาศาลที่มีความเกี่ยวโยงกับบริษัทยักษ์ใหญ่ประเทศมหาอำนาจ ที่ถูกตั้งคำถามว่า มีความพยายามรีบเร่งไปสู่การเปิดประตูเจรจารอบใหม่หรือไม่อย่างไร!
การเมืองเรื่อง “เกาะกูด” ที่ถูกโหมกระพือในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ทั้งประเด็นการเจรจาแบ่งผลประโยชน์แหล่งพลังงานพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล 26,000 ตร.กม. ไทย-กัมพูชา เพื่อนำขึ้นมาใช้ทดแทนแหล่งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ที่กำลังเป็นประเด็นไฟลามทุ่งถล่มอย่างหนักไปที่รัฐบาล
ฝั่ง “บ้านป่ารอยต่อ” จุดไฟ “ชาตินิยม” ผูกโยง “MOU2544” ที่ “รัฐบาลทักษิณ” กับ “รัฐบาลฮุน เซน” เมื่อ 23 ปีก่อน เป็นต้นเหตุให้ ประเทศไทยเสียอธิปไตยทางทะเล อ้างถึงการลากเส้นผ่ากลางเกาะกูดซึ่งเป็นดินแดนของไทย อาจเป็นการยอมรับให้พื้นที่ดังกล่าวตกเป็นของกัมพูชา
“สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” ประธานศูนย์นโยบายและวิชาการพรรคพลังประชารัฐ ยกกรณีที่"ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์" คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ได้เปิดเผยข้อมูลใหม่ว่า มติคณะรัฐมนตรีรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เห็นชอบในหลักการ “ให้ยกเลิก MOU2544” หรือยกเลิกบันทึกความเข้าใจระหว่างราชอาณาจักรไทย-กัมพูชา เกี่ยวกับการอ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย ปี พ.ศ.2544 (MOU2544) ตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย.2552 ซึ่งยังคงมีผลผูกพันทางกฎหมายจนถึงปัจจุบัน
ขยี้ไปถึง “พรรคร่วมรัฐบาล” ในเวลานั้นประกอบไปด้วย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรครวมชาติพัฒนา พรรคกิจสังคม และพรรคมาตุภูมิ ที่เห็นชอบในหลักการให้ยกเลิก MOU2544 โดยเฉพาะ3พรรคแรกที่เวลานี้อยู่ในสถานะพรรคร่วมรัฐบาล
คล้อยหลังไม่กี่ชั่วโมง “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลแถลงเคลียร์ชัด
เอ็มโอยู 44 ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเกาะกูดและเกาะกูดไม่ได้อยู่ในเอ็มโออยู่ และรัฐบาลในอดีตไม่เคยไม่การยกเลิกเอ็มโอยูดังกล่าว แต่อย่างใด
“การไม่ยกเลิกเอ็มโอยูไม่ได้ยอมรับการขีดเส้นของกัมพูชาเพราะเกาะกูดเป็นของไทย”
แน่นอนว่า เกมไล่ทุบความเป็นชาตินิยมของ “ค่ายบ้านป่าฯ ” ย่อมล่วงรู้ไปถึง “ค่ายบ้านจันทร์ฯ” เห็นชัดถึงเกมเอาคืนแบบทันควันไล่ขุดไปถึงสมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เวลานั้นมีการฟื้นการเจรจารอบใหม่ แถมตั้ง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ในเวลานั้นและเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐในเวลานี้ ไปเป็นตัวแทนรัฐบาลไทยที่ไปเจรจากับรัฐบาลกัมพูชาเสียด้วยซ้ำ
เป็นเช่นนี้ไม่แปลกหากฝั่งพรรคเพื่อไทยจะแก้เกมเอาคืนด้วยการ ขยี้ไปที่การเจรจาในครั้งนั้น ท่ามกลางคำถาม ถ้าMOU2544เป็นเหตุให้ไทยเสียดินแดน เหตุใดกรอบเจรจาที่ พล.อ.ประวิตร เป็นตัวแทนรัฐบาลไทย วันที่ 1 ต.ค. 2564 จึงกำหนดให้ดำเนินการตาม “MOU2544” ทั้งในเรื่องการแบ่งเขตแดนทางทะเล และการร่วมพัฒนาแหล่งพลังงานไปพร้อมกัน
แถมล่าสุดยังมีคำยืนยันจาก “กษิต ภิรมย์” อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยืนยันว่า การคงอยู่ MOU2544 ยังมีความจำเป็น
ส่วนสาเหตุที่เสนอยกเลิกในอดีตปัญหาไม่ได้เกิดจากเนื้อหาในเอ็มโอยู แต่เบื้องลึกเบื้องหลังเกิดจาก การที่สมเด็จ ฮุนเซน นายกฯกัมพูชาในขณะนั้น ได้ตั้ง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯของไทย เป็นที่ปรึกษากัมพูชาซึ่งเป็นการดำเนินการในลักษณะแทรกแซงการเมืองของประเทศไทยเนื่องจาก “ทักษิณ” อยู่ฝ่ายการเมืองหนึ่ง ตนและพรรคประชาธิปัตย์อยู่ฝ่ายการเมืองหนึ่ง
"เราจึงต้องแก้เผ็ดทักษิณและสั่งสอนสมเด็นฮุนเซ็นด้วยการเสนอยกเลิก MOU44 ออกมาเจตนาเพื่อจะบ่งบอกความไม่พอใจของรัฐบาลไทยและประเทศไทยต่อพฤติกรรมดังกล่าว" อดีตรมว.ต่างประเทศย้ำเหตุผล
กษิต ยังกล่าวว่า การดำเนินการของ“ทักษิณ” ในครั้งนั้นถูกมองว่าอาจกลายเป็นเครื่องมือในการเข้ามาแทรกแซงกิจการของไทย จึงเป็นที่มาของมติครม.ดังกล่าวก่อนที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตามกฎหมายระหว่างประเทศ เพื่อให้ฝ่ายกัมพูชาได้รับทราบต่อไป
ทว่าหลังจากที่กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการนั้น ภายหลังรัฐบาลได้มีการยุบสภาทำให้มติครม.ดังกล่าวยังค้างคาอยู่ไม่ได้มีการเสนอต่อรัฐสภา หลังจากนั้นมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลไปสู่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กระทั่งรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน จนถึงรัฐบาลปัจจุบัน
ทั้งนี้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ได้ดำเนินการต่อตามMOU44 ด้วยการแต่งตั้งพล.อ.ประวิตร เป็นหัวหน้าคณะเจรจาข้อพิพาททางทะเล หมายความว่ามติของพรรคประชาธิปัตย์ได้สิ้นสุดไปตั้งแต่จบรัฐบาลแล้ว
"แต่MOU44 ยังมีชีวิตอยู่และได้รับการต่ออายุโดยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์"
สอดคล้องกับที่นายกฯแพทองธาร เปิดเผยว่าอยู่ระหว่างแต่งตั้ง คณะกรรมการร่วมด้านเทคนิค (Joint Technical Committee:JTC)ไทย-กัมพูชา หรือคณะกรรการJTC ในเร็วๆนี้
อดีตรมว.ต่างประเทศฯ ย้ำอีกว่า ตัวเนื้อหาในMOUไม่มีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นฉบับ44ในรัฐบาลทักษิณ หรือฉบับ43ในรัฐบาลนายชวน หลีกภัย เนื้อหาก็คล้ายๆกัน ในแง่ที่ว่าเป็นการบ่งบอกซึ่งกันและกันระหว่างไทย-กัมพูชา ไม่ได้แปลว่าเรายอมรับเส้นแบ่งเขตแดนที่เขาขีดมาให้ การเจรจายังไม่เคยเกิดขึ้นเขาจะลากกี่ร้อยเส้นไม่ใช่ประเด็น
การคงอยู่MOU 44 ไม่ได้มีปัญหา การเสนอยกเลิกของรัฐบาลในอดีตไม่ได้เอาเนื้อในมาเป็นข้อพิจารณาแต่เราดูพฤติกรรมการไม่น่ารักของสมเด็จฮุนเซ็นฯ จึงมีวิธีตอบโต้กังกล่าวออกมา และเป็นการตอบโต้อย่างสันติวิธี มีการดำเนินการอย่างเปิดเผย
การเมืองเรื่อง“เกาะกูด” ถูกโหมกระพือในเวลานี้ ทำไปทำมาจากการจุดกระแสชาตินิยมจากฝั่ง “บ้านป่าฯ” หวังไล่ทุบ “บ้านจันทร์ฯ” ทำไปทำมากลับกลายเป็นประเด็น “จุดใต้ตำตอ” กระแสตีกลับไปยังประมุขค่ายบ้านป่าฯแบบเต็มๆ
ต้องจับตาการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา หากยังจำกันได้ในช่วงต้นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย มี "เศรษฐา ทวีสิน" เป็นนายกฯ ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาที่จะเร่งเจรจาการใช้พลังงานในพื้นที่อ้างสิทธิกับประเทศข้างเคียง และสำรวจหาแหล่งพลังงานเพิ่ม รวมถึงสนับสนุนการจัดหาแหล่งพลังงานใหม่เพื่อสร้างความมั่นคงพลังงาน
จากนั้น "เศรษฐา" ได้เดินทางเยือนกัมพูชาในวันที่ 28 ก.ย.2566 เพื่อแนะนำตัวในโอกาสรับตำแหน่งใหม่รวมทั้งการกระชับสัมพันธ์และความร่วมมือท่ามกลางการจับตาไปที่การเจรจาพื้นที่ทับซ้อน
ไม่ต่างจากการเดินทางเยือนไทยของ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรกัมพูชา เมื่อวันที่ 7 ก.พ.2567 เพื่อหารือกับ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ภายใต้สัญญาณจากผู้นำ2ประเทศ
แน่นอนว่าในยามเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจาก "รัฐบาลเศรษฐา" มาสู่ "รัฐบาลแพทองธาร" ความสัมพันธ์ของผู้นำ2ประเทศ ทั้งหน้าฉาก-หลังฉาก ย่อมถูกจับตาโดยเฉพาะประเด็นการแบ่งเค้ก ผลประโยชน์มหาศาลที่มีความเกี่ยวโยงกับบริษัทยักษ์ใหญ่ประเทศมหาอำนาจ ที่ถูกตั้งคำถามว่า มีความพยายามรีบเร่งไปสู่การเปิดประตูเจรจารอบใหม่หรือไม่อย่างไร!