‘นายกฯ’ ย้ำ อยู่ครบเทอม สานต่อนโยบาย ‘เศรษฐา’ โว ปี68 ศก.โตกว่าเป้า
“แพทองธาร” เผย รัฐบาล สร้างโอกาสที่จับต้องได้ให้คนไทย ชี้ ถ้าปากท้องอิ่ม ศักยภาพที่ซ่อนอยู่จะออกมา ระบุ ท่องเที่ยงฟื้นเต็มที่ คาดปี68 ศก.โตกว่าเป้า มั่นใจ อยู่ครบเทอม สร้างความเชื่อมั่นต่างชาติ สานต่อนโยบาย “เศรษฐา” ไม่สะดุด
ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ประเทศไทย: โอกาส-ความหวัง-ความจริง” ว่า รัฐบาลพยายามสร้างโอกาสที่จับต้องได้ให้คนไทย ตนชื่นชอบคำว่าโอกาสที่จับต้องได้เป็นพิเศษ เพราะแปลว่าจะสามารถใช้โอกาสเพื่อให้เกิดประโยชน์กับชีวิตได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่รัฐบาลต้องการให้เกิดขึ้น รัฐบาลเชื่อมั่นว่า คนไทยมีศักยภาพที่สูง เพียงแค่ขาดโอกาสที่จะเข้าถึง หรืออาจมีการสนับสนุนไม่เพียงพอ การกระจายโอกาสจึงสำคัญมาก รัฐบาลจึงเร่งดำเนินการทำเรื่องนี้ แต่บางสิ่งเกิดปัญหาสะสมมายาวนานต้องใช้การดำเนินการหลายวิธีเพื่อผลักดันประเทศชาติและเศรษฐกิจของประเทศให้ขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างแข็งแรง
“ถ้าคนไทยปากท้องอิ่ม ศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในตัวจะออกมาเอง ถ้าความต้องการพื้นฐานไม่ถูกเติมเต็ม ความคิดสร้างสรรค์ การผลักดันประเทศเป็นไปได้ยาก รัฐบาลจึงพยายามที่จะกระจายโอกาสตรงนี้ไปให้มากที่สุดเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ” นายกฯ กล่าว
นายกฯ กล่าวถึง สถานการณ์เศรษฐกิจไทยปัจจุบันเกี่ยวกับตัวเลข GDP ปีนี้ ว่า อยู่ประมาณ 2.7% อยู่ในช่วงฟื้นตัว ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยล่าสุดสภาพัฒน์ฯ ได้มีการแถลงตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 ถือเป็นสัญญาณที่ดีทางเศรษฐกิจของไทย โดยรายได้หลักมาจากการลงทุนของรัฐบาล รวมถึงจากการท่องเที่ยว มียอดนักท่องเที่ยวเพิ่มมากกว่า 28 เปอร์เซ็นต์จากปีที่แล้ว และคาดว่าในปีนี้จะมียอดนักท่องเที่ยวสูงถึง 36 ล้านคนและอาจจะขึ้นไปถึง 40 ล้านคนได้ในปีหน้า เท่ากับสถิติเดิมก่อนเกิดโควิด-19 ถือเป็นสัญญาณที่ดีว่าภาคการท่องเที่ยวของไทยกำลังกลับมาฟื้นตัวอย่างเต็มที่ จากการขับเคลื่อนนโยบายด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล ทั้งวีซ่าฟรี การพัฒนาการบริการของสนามบิน นโยบาย Festival Country ที่รัฐบาลนี้ได้ทำต่อเนื่องจากรัฐบาลอดีตนายกรีฐมนตรีเศรษฐาฯ จากการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ก็คาดว่าจะโตกว่าที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี
นายกฯ กล่าวว่า การเดินทางไปเยือนต่างประเทศและได้มีการหารือกับเอกชนต่างประเทศ หลายคนมีความสนใจที่จะมาลงทุนในประเทศไทย หากการเมืองประเทศไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น ก็จะทำให้ต่างประเทศมีความเชื่อมั่น ที่จะมาลงทุนในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น โดยได้ให้ความเชื่อมั่นกับทุกคนว่ารัฐบาลจะสามารถอยู่จนครบเทอมได้ เพื่อให้นักลงทุนต่างชาติมั่นใจได้ว่าการลงทุนจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง รวมถึงสานต่อนโยบายที่รัฐบาลอดีตนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน ดำเนินการไว้ เพื่อทำให้ต่างชาติและนักลงทุนเชื่อมั่นว่าการลงทุนไปแล้วไม่สะดุด โดยสิ่งแรกที่รัฐบาลต้องเร่งทำคือ การใช้งบลงทุนกว่า 9.6 แสนล้านบาท ให้เต็มประสิทธิภาพ รวมถึงงบลงทุนรัฐวิสาหกิจด้วย ซึ่งปกติจะใช้กันไม่ค่อยหมด โดยปีหน้ากำชับว่า ให้ใช้กันให้ทัน ให้คุ้มค่าภาษี
นายกฯ กล่าวถึงปัจจัยภายนอกที่จะส่งผลต่อมาตรการทางการค้า ทั้งการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองของอเมริกา เพราะประเทศไทย พึ่งพาการส่งออกถึง 60% ของ GDP โดยการส่งออกไปอเมริกา คิดเป็นประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของการส่งออกทั้งหมด ความเปลี่ยนแปลงนี้ ย่อมส่งผลถึงเศรษฐกิจไทยในปีหน้า พร้อมย้ำสิ่งสำคัญที่ต้องประเมินควบคู่ด้วยคือการผลักดันเครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่ซึ่งจะต้องคิดถึงเรื่อง economy of scale เป็นสำคัญ เช่น รัฐต้องช่วยในเรื่องของภาษี รวมถึงการเรื่องของกฎหมายข้อบังคับให้หนักแน่นยิ่งขึ้นโดยเฉพาะเรื่องของการซื้อ-ขายสินค้าทางออนไลน์ต่างๆ เพื่อดูแลช่วยเหลือ SME ของไทยด้วย รวมถึงอีกหนึ่งทางรอดของไทยในปีหน้า คือต้องสร้างอุตสาหกรรมที่ใช้วัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์เป็นตัวนำ มีเอกลักษณ์ที่คนอื่นลอกเลียนแบบกันไม่ได้โดยง่าย มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ใคร ๆ ก็ชอบ และต้องสามารถพัฒนาไปตามยุคสมัยได้
3 โอกาสที่จับต้องได้ และ กำลังพัฒนาอยู่ คือ
1) โอกาสในอาหาร ประเทศไทยมีความพร้อมอย่างมากที่จะเป็นครัวโลกและ food security เพราะมีความมั่นคงทางด้านอาหาร อุดมสมบูรณ์ และสงบสุข โดยต้องนำเทคโนโลยีพัฒนาและถนอมอาหารให้มีคุณภาพและยังคงมีความสดใหม่จนถึงปลายทาง เพื่อให้การส่งออกวัตถุดิบทางการเกษตร และการส่งออกอาหารไทยไปทั่วโลกมากขึ้น รองรับความต้องการของหลายประเทศซึ่งมีความมั่นคงทางอาหารอย่างมาก เช่น ประเทศจีน ที่การผลิตอาหารในประเทศไม่เพียงพอ หนึ่งในอาหารที่จีนต้องการมากคือ เนื้อวัวจากประเทศไทย ซึ่งต้องมีการยกระดับคุณภาพในการส่งออกทั้งการตรวจคัดกรองโรคในวัว การยกระดับคุณภาพพันธุ์ เพื่อให้ต่างประเทศยอมรับในมาตรฐานซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีโอกาสมากขึ้น รวมทั้งการหาแนวทางในการนำความมีเสน่ห์และคุณค่าที่อาหารไทยมีอยู่ มาพัฒนาสร้างคุณค่าและเพิ่มราคาให้สูงขึ้น โดยการฟื้นโครงการ ครัวไทยสู่ครัวโลก ทั้งการขายอาหารไทยสำเร็จรูปต่าง ๆ รวมไปถึงเร่งผลิตเชฟอาหารไทยระดับมืออาชีพให้มากขึ้น ผ่านโครงการ หนึ่งหมู่บ้านหนึ่งเชฟอาหารไทย เพื่อสร้างอาชีพตรงนี้ได้มากขึ้นด้วย
2) โอกาสในสุขภาพ หรือ Wellness ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ไทยมีต้นทุนอยู่สูงมาก ทั้งอาหารไทยที่ดีต่อสุขภาพ สมุนไพรไทยหลากหลาย ระบบการรักษาที่ดี สามสิบบาทรักษาทุกโรคที่มีการยกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่ หลักประกันสุขภาพของคนไทย ที่ทั่วโลกให้การยอมรับ รวมถึงโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงในระดับโลกหลายแห่ง ทั้งการแพทย์ และการบริการ นอกจากนี้ ยังมีภาคบริการเชิงสุขภาพอีกหลายรูปแบบ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เช่น การฟื้นฟูจิตใจ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการออกกำลังกาย เช่น มวยไทย ซึ่งได้รับความนิยมและโด่งดังไปทั่วโลก ตรงนี้จะมีการนำวิชามวยไทยมา Upskill และ Reskill เพื่อให้ certificate เป็นการรับรองมาตรฐานและเพื่อให้สามารถเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนได้ด้วย รวมถึงการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยใน Wellness เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมสุขภาพในทุกด้าน ทั้งสมุนไพรไทยและสารสกัดจากพืชผักของไทยมาใช้ให้เกิดประโยชน์เพื่อสร้างมูลค่าให้มากขึ้น โดยในอนาคตทำให้ประเทศไทยเป็น Hub Wellness ให้คนทั่วโลกคิดที่จะดูแลสุขภาพก็จะเดินทางมาประเทศไทยได้
3) โอกาสในอุตสาหกรรมที่สร้าง Soft Power ซึ่งรัฐบาลได้เริ่มดำเนินการนโยบาย Soft Power เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยรัฐบาลมองเห็นศักยภาพในวัฒนธรรมไทยที่มีเสน่ห์ มีของดี มีเอกลักษณ์ โดยรัฐบาลให้ที่จะทำให้ “คุณค่า” ในวัฒนธรรมไทยกลายเป็น “มูลค่า” เพื่อยกระดับชีวิตของประชาชน นอกจากนี้รัฐบาลยังได้ดำเนินการในหลายอุตสาหกรรมไม่ว่าจะเป็น การยกระดับเทศกาลสงกรานต์ เทศกาลฤดูหนาวปลายปี การให้เงินสนับสนุนภาพยนตร์ไทยไปปรากฏในเวทีโลก การเพิ่ม cash rebate จาก 20 % เป็น 30 % ให้กับกองถ่ายที่มาถ่ายทำในประเทศไทย เพื่อประหยัดต้นทุนในการถ่ายทำได้ ซึ่งได้ไปพูดคุยกับบริษัทผลิตภาพยนตร์หลายบริษัทในอเมริกา มาตรการนี้ได้รับการตอบรับที่ดีมาก โดยปีที่ผ่านมาพบว่า เพียงปีเดียว มีถึง 40 ประเทศที่เข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทย ประมาณ 450 เรื่อง สามารถสร้างเม็ดเงินในประเทศไทยได้ถึงประมาณ 190 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งนอกจากจะดึงดูดกองถ่ายต่างประเทศให้เข้ามาในประเทศมากขึ้นแล้ว ยังหวังว่าคนทำหนังไทยที่เก่งอยู่แล้ว จะได้พัฒนาองค์ความรู้จากกองถ่ายต่างชาติต่อยอดวงการหนังไทยต่อไป
นายกฯ กล่าวว่า ทั้งหมดนี้รัฐบาลทำนโยบายเพื่อสร้าง Ecosystem ที่เอื้อให้เกิดการเติบโตกับทุกอุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์ รวมไปถึงอยากให้เกิดเกมส์ไทยแบบ โฮมสวีทโฮม ที่นำความเชื่อ ความน่ากลัวแบบผีไทย นำเรื่องราวของไสยศาสตร์แบบไทย มาเล่าเรื่องสร้างเอกลักษณ์ให้เกมไทย ผสมกับเทคโนโลยีการสร้างเกม ให้ดังไกลไปทั่วโลก ต้องการให้สร้างภาพยนตร์ เช่น หลานม่า มากขึ้น เพราะเป้าหมายของรัฐบาลต้องการที่จะหาฮีโร่ในทุกอุตสาหกรรม ทุกจังหวัดให้กับประเทศเพื่อให้ทุกคนได้เกิดความภาคภูมิใจในพื้นที่นั้น ๆ สามารถที่จะพูดกับทั่วโลกได้ว่าประเทศไทยมีความเก่งและความชำนาญในหลายด้าน
นอกจากนี้สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการคือเรื่องพลังงาน ที่ต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ แหล่งแก๊สธรรมชาติที่อ่าวไทยมีวันหมดและจากการคาดการณ์อาจจะไม่เกินอีกสิบปีอย่างแน่นอน จึงมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วน ที่ต้องหาแหล่งก๊าซธรรมชาติใหม่ เพื่อเป็นเชื้อเพลิงของประเทศไทย เพราะนอกจากการคมนาคมแล้ว ยังใช้ในการผลิตไฟฟ้าด้วย รวมไปถึงรัฐบาลก็ยังสนับสนุน พลังงานสะอาด พลังงานทางเลือก อย่าง solar cell ตลอดจนเรื่องของ semiconductors ที่เราก็กำลังศึกษาว่ามีแนวโน้มอย่างไร ประเทศไทยจะเข้าไปมีส่วนร่วมกับอุตสาหกรรมนี้ในทางไหนได้บ้าง ทั้งหมดเป็นสิ่งที่รัฐบาลมองเห็นโอกาสของประเทศไทย ซึ่งรัฐบาลก็พยายามที่จะหาเม็ดเงินใหม่เข้ามาเติมทั้งเงินจากต่างประเทศหรือเงินที่เกิดจากรายได้ใหม่ ๆ ที่เกิดในประเทศไทยด้วย