สมรภูมิ ‘ไทย-ว้าแดง’ เปิดฉากรบ ใครได้-เสีย?

สมรภูมิ ‘ไทย-ว้าแดง’ เปิดฉากรบ ใครได้-เสีย?

เปิดผลการเจรจา "ทหารไทย-กลุ่มหว้าแดง" ในวันเดดไลน์ ระบุ อยู่พื้นที่นี้ตั้งแต่สมัยขุนส่า ย้ำไม่ถอนกำลัง จนกว่าหน่วยเหนือจะมีคำสั่ง

KEY

POINTS

  • ทภ.3 สั่งกำลังเตรียมพร้อมปฏิบัติการ24ชั่วโมง หากมีประเด็นล่อแหลม ในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ซึ่งอยู่ในอิทธิพลกลุ่มหว้าแดง
  • ทภ.3 เน้นย้ำขั้นตอนเจรจา ส่วนการใช้กำลังขอให้เป็นหนทางสุดท้าย

กองทัพภาคที่ 3 ได้รับแรงกดดันจากภายในประเทศหนัก ในฐานะที่รับผิดชอบพื้นที่ตะเข็บชายแดนไทย-เมียนมา ทั้งฝั่งกองกำลังผาเมือง และกองกำลังนเรศวร ซึ่งมีพื้นที่พิพาทยังปักปันเขตแดนไม่แล้วเสร็จอยู่ในอิทธิพลกลุ่มว้าแดง


สะท้อนผ่านคำพูด “พล.ท.กิตติพงษ์ แจ่มสุวรรณ” แม่ทัพภาคที่ 3 แสดงถึงความแข็งกร้าว “หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราพร้อมรบ” เพื่อไม่ให้ภาพทหารไทยดูหน่อมแหน้ม

ขณะเดียวกัน มทภ.3 มีท่าทีประนีประนอม ป้องกันข้อครหาต่อสายตานานาประเทศว่า ทหารไทยซึ่งมีสรรพกำลัง อาวุธยุทโธปกรณ์เหนือกว่า รังแกชนกลุ่มน้อย ด้วยการเน้นย้ำกรอบการเจรจา การใช้กำลังเป็นขั้นตอนสุดท้าย


ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ความไม่เป็นเอกภาพ “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร” และฝ่ายความมั่นคง รวมถึงความไม่ชัดเจนด้านนโยบายแนวทางปฏิบัติ ชนกลุ่มน้อยจึงแสดงท่าทีแข็งกร้าวเพื่อสร้างอำนาจต่อรอง

สอดรับปัญหาชายแดนไทย-เมียนมา สะสมมายาวนาน ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล ทำให้เกิดช่องว่าง โดยเฉพาะพื้นที่ ที่ยังมีการสู้รบ แม้การปฏิบัติตามปกติจะไม่มีปัญหา แต่นโยบายไม่ชัดเจน อาจเกิดปัญหาบางประการ  

ปฐมบท ก่อนทหารไทย-กลุ่มว้าแดงเริ่มปะทุ บริเวณตะเข็บชายแดนภาคเหนือ สืบเนื่องจากทหารไทย-กลุ่มว้าแดง ได้หารือกันภายใต้กรอบการเจรจา เมื่อวันที่ 18-19 พ.ย.2567 ซึ่งเป็นขั้นตอนตามปกติ

โดยทางฝ่ายไทยได้ขอให้ว้าแดงถอนกำลังในพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ผู้แทนของว้าแดงได้รับข้อเสนอ ส่งไปยังกองบัญชาการใหญ่เมืองปางซาง และจะให้คำตอบต่อฝ่ายไทยภายใน 30 วัน

เมื่อข่าวเล็ดลอดผ่านสื่อ กลายเป็นสังคมไปตั้งโจทย์ 18 ธ.ค.2567 คือ“เดดไลน์” กดดันทหารไทยในพื้นที่ ต้องดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด หากกลุ่มว้าแดง ไม่ถอนกำลัง การเจรจารอบนั้นถูกสื่อสารผิดเพี้ยนไปจากเป้าหมายที่แท้จริง

ส่วนผลการพูดคุยระหว่างทหารไทย และกลุ่มว้าแดง เมื่อ 17 ธ.ค.2567 หลังครบ 1 เดือน

1.กลุ่มว้าแดง ย้ำชัดไม่ได้อยากรบกับทหารไทย พร้อมถอนกำลังออกจากพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ตามที่ทหารไทยร้องขอ หากหน่วยเหนือ(กองบัญชาการใหญ่เมืองปางซาง)สั่งการมา ก็พร้อมปฏิบัติตามนั้น

2.กลุ่มว้าแดง ระบุว่า พื้นที่ที่เป็นที่ตั้งฐานกลุ่มว้าแดง อยู่มานานแล้วตั้งแต่สมัยขุนส่า และมีความมั่นใจและยึดมั่นว่าพื้นที่นั่น ไม่ได้บุกรุกไทยแน่นอน และยืนยันต้องรอคำสั่งจากหน่วยเหนือ

3.หน่วยเหนือของกลุ่มว้าแดง มีสถานะเป็นกองกำลัง ฝ่ายไทยจะไปเจรจาในลักษณะระดับรัฐบาลไม่ได้ เพราะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์
อยู่ในพื้นที่รัฐบาลเมียนมา จึงโยนให้รัฐบาลเมียนมา

4. รัฐบาลเมียนมา ให้คำตอบกลับมา ว่าเป็นเขตอิทธิพลของกลุ่มว้าแดง รัฐบาลเมียนมาไม่สามารถควบคุมได้ เพราะปัจจุบันนี้
การสู้รบในประเทศบางพื้นที่ อิทธิพลรัฐบาลเมียนมาเข้าไปไม่ถึง สั่งการไม่ได้

5. ปัจจุบันนี้ ทหารไทยยังไม่ได้สัญญาณจากกลุ่มว้าแดง ว่าจะถอย เพราะยืนยันรอคำตอบจากหน่วยเหนือ

สำหรับแนวทางปฏิบัติ กองกำลังผาเมือง และกองกำลังนเรศวร
1.เตรียมกำลัง อาวุธ ยุทโธปกรณ์ ตรวจสอบความพร้อมรบ 24 ชั่วโมง แต่สถานการณ์ยังไม่ถึงจุดที่กองกำลังทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้า

2.หากได้รับคำสั่งการมาจากหน่วยเหนือ ทั้งในระดับ กองทัพบกกระทรวงกลาโหม และรัฐบาลสามารถดำเนินการปฏิบัติภารกิจ 100%

3.แนวทางแก้ไขปัญหา ปัจจุบันหากนโยบายไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงยึดกรอบเจรจา ติดตามทวงถามเป็นระยะ และควบคุมพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบ

4. เพิ่มความกดดันให้หนัก พื้นดอยหัวม้า ของกองกำลังนเรศวร หลังกลุ่มว้าแดงรุกคืบขยานฐานย่อยมาใกล้ฐานทหารไทย มีการประท้วงเป็นระยะ

การประเมินผลได้-ผลเสีย หากทหารไทยเปิดฉากสู้รบกับกลุ่มว้าแดง กองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มที่ขัดแย้งกับกลุ่มว้าแดง ได้ประโยชน์

ส่วนไทยได้รับผลกระทบหลายมิติ ทั้ง เศรษฐกิจ ท่องเที่ยว ประชาชนทั้งสองฝั่งเดือดร้อน สถานการณ์ไม่จบง่ายๆ การสู้รบขยายวงกว้างไม่สามารถจำกัดพื้นที่ได้ ถูกประชาคมโลกเพ่งเล็ง

สถานการณ์จะส่งผลต่อชายแดนไทยรอบด้านตึงเครียด เช่น ลาว กัมพูชา มาเลเซีย ซึ่งมีพื้นที่พิพาทปักปันเขตแดนไม่แล้วเสร็จ เช่นเดียวกับ ด้านไทย-เมียนมา หากไทยใช้นโยบายแข็งกร้าวกับเพื่อนบ้าน

สำหรับการแก้ไขปัญหาในห้วงที่ผ่านมา โดยผ่านคณะกรรมการปักปันเขตแดนไทย-เมียนมา ดำเนินการโดยกรมสนธิสัญญาเขตแดน กระทรวงต่างประเทศ และมีกรมแผนที่ทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย 

แต่ภายหลังเกิดสู้รบภายในเมียนมา การปักปันเขตแดนไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ และเว้นว่างมานาน 
คงต้องรอนโยบายรัฐบาล และกระทรวงกลาโหม จะมีแนวทางใดในการแก้ปัญหา ท่ามกลางสมรภูมิไทย-กลุ่มว้า ที่อาจปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ