รวมพลขาประจำต้าน ‘ทักษิณ’ - ‘ปีกอนุรักษ์’ หยั่งเชิงม็อบปี 68
จับสัญญาณการระดมพลของมวลชนและเครือข่ายขาประจำคนเคยต้าน "ทักษิณ" ยกปมร้อนทั้งเอ็มโอยู44 ปมติดคุกไม่จริง กระตุกเตือน "รัฐบาลแพทองธาร" เป็นสัญญาณว่าปี 2568 การเมืองนอกสภาน่าจะเป็นยกระดับขึ้นอีก
KEY
POINTS
- ปมร้อนเอ็มโอยู44 ปม "ทักษิณ" ไม่ติดคุกจริง เป็นเงื่อนไขที่มวลชนนอกสภา คนประจำแนวรบนอกสภาต้าน "ทักษิณ" หยิบยกมาเคลื่อนไหว
- "สนธิ-แก้วสรร-จตุพร-วรงค์" รวมพลเครือข่ายต่างๆ ผนึกกำลังประเมินสถานการณ์เพื่อยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล-องค์กรอิสระ โดยมี "ทักษิณ" เป็นเป้าใหญ่สุด
- คนขาประจำเคยต้าน “ระบอบทักษิณ” ในอดีต เป็นอีกขาหนึ่งในปีกอนุรักษนิยม ได้ลุกขึ้นมาปลุกกระแสม็อบนอกสภา
- การเมืองปี 2568 คาดว่ามวลชนคนต้าน "ทักษิณ" จะมีความเคลื่อนไหวที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิม เป้าหมายบั่นทอนเสถียรภาพและความนิยมของรัฐบาลแพทองธาร
ปฏิกิริยากลุ่มการเมืองฝั่งตรงข้ามที่จ้องโค่นล้ม รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ออกมาท้าทายความหนาวที่สวนทางกับการเมืองร้อน ขยับเส้นขยับสายทางการเมืองทีละสเต็ปในช่วงก่อนปีใหม่
ศัตรูขั้วตรงข้าม “พรรคเพื่อไทย”ล้วนเป็นขาประจำ ต่างรู้ดีว่า “ทักษิณ ชินวัตร” คือ ผู้มีอำนาจเด็ดขาดสูงสุดภายในรัฐบาล ถึงแม้ “แพทองธาร” บุตรสาวทักษิณจะเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ตาม
ขาประจำขั้วตรงข้าม “ทักษิณ” ส่งสัญญาณกดดันนอกสภาฯ ผ่านประเด็นร้อนแรงที่เห็นอยู่หน้าฉากของรัฐบาลคือ ปมร้อน “เอ็มโอยู44” ประเด็นพื้นที่พิพาททับซ้อนทางทะเลระหว่าง “ไทย-กัมพูชา”
รวมทั้งปมร้อนกรณี “ทักษิณ” พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ชั้น 14 จนครบ 180 วัน โดยไม่ต้องถูกคุมขังในเรือนจำแม้แต่วันเดียว
ขาประจำคนเคยต้าน “ระบอบทักษิณ” ผ่านมาเกือบ 20 ปี ระดับแกนนำม็อบเสื้อเหลืองในอดีต วันนี้หลายคนอายุเริ่มมาก จู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาเป็นแกนนำมวลชนอีกครั้ง
ทำให้คนการเมืองอ่านเกมว่า นี่อาจเป็นเกมของปีกฝั่ง“อนุรักษนิยม” ที่ยังคงผูกใจเจ็บ ยังไม่ปล่อยมือให้กับ “ทักษิณ” วางหมากทางการเมืองได้โดยง่าย
ไล่ตั้งแต่ “สนธิ ลิ้มทองกุล” อดีตแกนนำพันธมิตรฯ ประกาศผ่านเวที ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ เมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2567 พร้อมลงถนนเพื่อต่อต้าน “รัฐบาลพรรคเพื่อไทย” กระทั่งนำมวลชนบุกถึงทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือด้วย 6 ข้อเรียกร้องถึง “แพทองธาร” โดยขอให้ ครม.มีมติให้ส่ง “เอ็มโอยู44” และ “เจซี 2544” ต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
จู่ๆ “แก้วสรร อติโพธิ” อดีต สว.กทม. และอดีต คตส. คนที่ “ทักษิณ” เคยบอกว่าเป็นขั้วตรงข้ามก็ออกมาขยับจับมือกับ “นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม” ประธานพรรคไทยภักดี “จตุพร พรหมพันธุ์” วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน อดีตประธาน นปช. รวมทั้งเครือข่าย คปท. ศปปส. กปปส. ล้วนเป็นแนวรบฝั่งตรงข้าม “ทักษิณ”
อย่างไรก็ตาม ก่อนถึงวันที่ เครือข่ายคนไม่เอาทักษิณไม่เอาเพื่อไทย จะมาผนึกกำลังนำมวลชนบุกถึงสำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2567 เพื่อเรียกร้องให้ ป.ป.ช.เร่งดำเนินการตามข้อเรียกร้อง 4 ข้อ หลังคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติ เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 2567 ตั้งองค์คณะไต่สวน เจ้าหน้าที่ของรัฐ สังกัดกรมราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจ สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวม 12 คนที่เกี่ยวข้องกับการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลตำรวจ ของ “ทักษิณ”
ว่ากันว่า ผู้ริเริ่มไอเดียระดมเครือข่ายคนเคยต้านทักษิณมาเดินสายเรียกร้ององค์กรอิสระ ก็เกิดจากแนวคิดของ “แก้วสรร อติโพธิ” จนสามารถเรียกแนวร่วมทั้งหมอวรงค์ จตุพร ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ตัวแทนของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” มาประชุมร่วมกันได้
มิตรที่เคยอยู่ข้าง “ทักษิณ” วันนี้ คนอย่าง “ตู่ จตุพร” สามารถมาจับมือ “หมอวรงค์” ร่วมล้มรัฐบาลเพื่อไทย ด้วยจุดยืนและแนวคิดเห็นพ้องตรงกันโดยเฉพาะการคัดค้าน “เอ็มโอยู44” รวมทั้งปมร้อนไม่ติดคุกจริงของ “ทักษิณ” อยู่เป็นทุนเดิม จึงทำให้ “แนวรบขาประจำ” เหล่านี้มาผนึกกลุ่มก้อนเดียวกัน
ขณะที่บทบาทฝ่ายค้านในปัจจุบันอย่าง “พรรคประชาชน” ถูกมองว่าอ่อนปวกเปียก การทำหน้าที่ยังมีท่าทีแตะเบรก ไม่ค้านอย่างเต็มที่ “แกนนำมวลชน” จึงมองว่ามือไม่ถึงในการตรวจสอบรัฐบาล
ต้องไม่ลืมว่า มวลชนนอกสภาฯ ในอดีตเคยมีพลังจนเป็นปัจจัยสร้างเงื่อนไขให้ผู้นำเหล่าทัพต้องรัฐประหารเพื่อโค่นล้ม “รัฐบาลทักษิณ” และ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ในอดีต
รัฐประหาร 22 พ.ค. 2557 จนถึงวันนี้ผ่านมาร่วม 10 ปี กระทั่งปี 2566 “ทักษิณ” ผู้ “ไม่หมูแล้วนะ” กลับมายืนผงาดในแผ่นดินเกิด หลังต้องใช้ชีวิตในต่างประเทศ 17 ปี ท่ามกลางข้อครหาไม่ติดคุกจริง
สถานการณ์การเมืองช่วงนี้ปลุกเงื่อนไข “รัฐประหาร” ได้ยากกว่าวันวาน เพราะหนึ่งยังไร้ปัจจัยมวลชนส่วนใหญ่มาเกื้อหนุน อีกทั้ง “ทหาร” ก็เพิ่งบอบช้ำ เสียเครดิตจากการยึดอำนาจครั้งล่าสุดผ่านการได้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นนายกฯ ยาวถึง 8 ปี
ประชาชนส่วนใหญ่ยังเผชิญกับวิกฤตปัญหาปากท้อง คงยังไม่พร้อมเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กลงถนน ให้เกิดเงื่อนไขรัฐประหารเหมือนปี 2549 และรัฐประหารจากการเป่านกหวีดเมื่อปี 2557
ขณะที่ "ทักษิณ" ให้สัมภาษณ์ที่ จ.อุบลราชธานี เมื่อวันที่ 11 ธ.ค. 2567 แสดงความมั่นใจว่าตัวเอง "ไม่หมูแล้วนะ" พร้อมทั้งปิดประตูเงื่อนไขรัฐประหารในยุคนี้ ว่า "รับรองรัฐประหารไม่มีแล้ว เพราะมีวิธีการเปลี่ยนรัฐบาลหลายรูปแบบ ไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐประหาร รัฐประหารแล้วมันช้ำ 9-10 ปีที่ผ่านมา ช้ำมาก ช้ำหนักมาก”
ก่อนสิ้นปี 2567 กลุ่มคนขาประจำต้านทักษิณ วางเกมทิ้งหัวเชื้อราดน้ำมันเอาไว้ก่อน รอวันที่รัฐบาลจะจุดไฟผ่านเงื่อนไขต่างๆ อีกทั้งการแสดงพลังผ่านข้อเรียกร้องต่างๆ ไปยังรัฐบาลและองค์กรอิสระ เพื่อเป็นการเช็กกระแส หยั่งเชิงมวลชนนอกสภาฯ ว่าพร้อมร่วมออกมาแตะมือ จนสามารถยกระดับเป็นการชุมนุมที่เข้มแข็งแบบเก่าได้หรือไม่
เมื่อเข้าสู่ปีใหม่ เครือข่ายดังกล่าวมีคิวจะนัดหมายแนวร่วมอยู่เป็นระยะ เพื่อประเมินและกำหนดท่าทีในการขับเคลื่อนเดินสายกดดันรัฐบาลต่อไป
หัวหอกในกลุ่มคนต้านทักษิณ ไล่เรียง “จุดเปราะบาง” ที่สามารถนำมาเป็นเงื่อนไขบั่นทอนคะแนนนิยมรัฐบาลให้เสื่อมศรัทธาลง
ไม่ว่าจะเป็น เอ็มโอยู 44 ปมติดคุกทิพย์ ปมปัญหาปากท้อง ปมเอื้อประโยชน์ผูกขาดให้แก่กลุ่มทุนพลังงานผ่านค่าไฟฟ้า ปมเงินหมื่นดิจิทัลวอลเล็ตที่ถูกมองว่าหาเสียงไม่ตรงปก รวมถึงปมการแต่งตั้งประธานบอร์ดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
ปมใหญ่ที่สุด หนึ่งในแกนนำม็อบมองว่า “ทักษิณ” คือ หนึ่งในเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้รัฐบาลแพทองธาร ต้องเผชิญชะตากรรมอาจอยู่ได้ไม่ครบเทอมเช่นกัน ส่วน “แพทองธาร” ก็เป็นจุดอ่อนของรัฐบาลจากการไร้ประสบการณ์ทางการเมืองในการเป็นนายกฯ อาการตรงนี้ทำให้ “ทักษิณ” ต้องออกแรงพูดผ่านเวทีสัมมนาต่างๆ
“อยู่ที่ทักษิณคนเดียว ถ้าทักษิณไม่สร้างเงื่อนไขทั้งหมด ก็ไม่นำไปสู่การเคลื่อนไหวเพื่อออกมาคัดค้านรัฐบาล” ท่าทีของหัวหอกในแนวร่วมล้มทักษิณระบุ
ล่าสุด "สนธิ ลิ้มทองกุล" ประกาศดีเดย์วันอังคารที่ 24 ธ.ค. 2567 เป็นวันครบ 15 วัน ที่ตนและคณะ รวมทั้งพี่น้องประชาชน ไปยื่นหนังสือเพื่อขอให้นายกรัฐมนตรียุติการดำเนินการใดๆ ที่เกี่ยวกับ MOU 2544 และ JC 2544 และรวมถึงขอให้เพิกถอนทั้งหมดด้วย โดยวันดังกล่าวจะไปยื่นหนังสือทวงถามนายกฯ ถึงความคืบหน้าอีกครั้งที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์รัฐบาล
"คนที่มีเสื้อ สุดซอย หรือ ความจริงมีหนึ่งเดียว ก็ใส่กันมาด้วย เพื่อเตือนให้รัฐบาลรู้ว่างานนี้ ความจริงมีหนึ่งเดียว และพวกเราไปกัน สุดซอยแน่นอน"
ปฏิเสธไม่ได้ว่าระดับคนขาประจำเคยต้าน “ระบอบทักษิณ” ในอดีต วันนี้เป็นอีกขาหนึ่งในปีกอนุรักษนิยม ซึ่งวันนี้ จู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาปลุกกระแสม็อบนอกสภา
ทางหนึ่งจึงถือเป็นสัญญาณที่กระตุกเตือนรัฐบาลให้รับรู้ว่า ปี 2568 อาจจะต้องเจอบททดสอบแรงต้านจากมวลชนนอกสภาฯ มากขึ้นกว่าเดิม