'นพดล' เชื่อค้าน MOU 44 ไม่บานปลาย แนะ 'ปานเทพ' ถอดบทเรียนจุดกระแสเขาพระวิหาร
“นพดล” เชื่อคัดค้านMOU 44 ไม่บานปลาย ติง ”ปานเทพ“ อย่าด้อยค่ากระทรวงการต่างประเทศ แนะถอดบทเรียนการจุดกระแสประเด็นเขาพระวิหารที่ใช้ความเท็จและวาทกรรมลวงใส่ร้ายคนอื่น
เมื่อวันที่ 3 ม.ค. นายนพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และอดีตรมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองในปี 2568 ว่า สำหรับการเมืองในสภาครึ่งปีแรก ก็คงจะมีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน รัฐบาลนายกฯแพทองธารทำงานมาไม่กี่เดือน แต่ก็ได้ผลักดันงานสำเร็จหลายเรื่อง น่าจะสามารถชี้แจงการอภิปรายได้ ส่วนการเมืองนอกสภาฯ ถ้าเคลื่อนไหวในกรอบรัฐธรรมนูญก็ไม่น่ากังวลเพราะเป็นสิทธิ์ ส่วนการคัดค้าน MOU 44 ของแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ เดิมนั้น รัฐบาลรับฟังความเห็นต่าง คุยกันด้วยเหตุผล โดยให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจากกองทัพและกระทรวงการต่างประเทศให้ข้อมูล แต่ตนไม่ค่อยสบายใจกับท่าทีของแกนนำผู้คัดค้าน ขอถามว่านายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ใช่ไหมที่โพสต์เฟซบุ๊กตั้งคำถามในเชิงด้อยค่ากระทรวงการต่างประเทศ ว่าเพลี้ยงพล้ำและเสียท่าให้เขมรมาโดยตลอด
และกล่าวว่ากัมพูชาชนะสติปัญญาข้าราชการและนักการเมืองไทยมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตนถามว่าเป็นทัศนคติดูแคลนต่อคนที่ถูกพาดพิงหรือไม่ ซึ่งข้าราชการคงไม่เสียเวลามาตอบโต้ทางการเมือง และโดยมารยาททางการทูต เขาคงไม่ป่าวประกาศว่าตนชนะการเจรจากับประเทศเพื่อนบ้านอย่างไร เพราะการทูตและการต่างประเทศนั้นใช้ความรู้ สติปัญญาและมารยาท แต่ที่พวกเขาขาดคือการยกตนข่มท่าน
นายนพดล กล่าวต่อว่า ตัวอย่างผลงานที่ชัดเจนอันหนึ่ง ในปี 2549 กัมพูชาได้ยื่น 1.ตัวปราสาทพระวิหาร และ 2.พื้นที่รอบตัวปราสาทหรือพื้นที่ทับซ้อน ไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก แต่กระทรวงการต่างประเทศสมัยผมเป็นรัฐมนตรีเจรจาสำเร็จ จนกัมพูชายอมตัดพื้นที่ทับซ้อนออกเพราะไทยอ้างสิทธิ์ และยอมขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารอย่างเดียว แต่นักการเมืองกลุ่มหนึ่ง นายสนธิ ลิ้มทองกุล และแกนนำกลุ่มพันธมิตรในขณะนั้นโจมตีกล่าวหาใส่ร้ายตนด้วยความเท็จ ว่าการที่ตนได้ลงนามในคำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชานั้น 1.ตนได้ทำให้ไทยเสียดินแดน 2.ทำให้ไทยเสียสิทธิในการทวงคืนปราสาทพระวิหาร 3.พวกตนขายชาติ 4.การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาได้รวมพื้นที่ทับซ้อนรอบปราสาทไปด้วย ซึ่งกลุ่มพันธมิตรนำเรื่องไปยื่นเอาผิดตนต่อ ป.ป.ช และต่อมาป.ป.ช.ไปยื่นฟ้องตนต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และในวันที่ 4 ก.ย.58 คดีหมายเลขแดงที่ อม.63/ 2558 ศาลฎีกาฯได้พิพากษายกฟ้องตน และในคำพิพากษายังได้ระบุว่าการลงนามในคำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาของจำเลย (นายนพดล) ในฐานะรมว.ต่างประเทศ จึงสมเหตุผลและถูกต้องตรงตามสถานการณ์ ทั้งมิได้กระทบกระเทือนถึงสิทธิในดินแดนของประเทศไทย การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกของกัมพูชาไม่ส่งผลให้ไทยเสียดินแดนหรือเสียสิทธิในการทวงคืนปราสาท ไทยจะได้ประโยชน์จากข้อตกลงในคำแถลงการณ์ร่วม
“กระบวนการยุติธรรมพิสูจน์แล้วว่าข้อกล่าวหา 4 ข้อข้างต้นที่เคยใส่ร้ายผมนั้นเท็จและผิดทุกประเด็น ขอให้ไปอ่านคำพิพากษาในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 132 ตอนที่ 111ก วันที่ 23 พฤศจิกายน 2558 ผมจึงอยากให้ถอดบทเรียนว่าควรดำเนินการคัดค้าน mou 44 อย่างไร ควรสำนึกถึงการใส่ร้ายเท็จคนอื่นและความเห็นที่ผิดในเรื่องเขาพระวิหารบ้าง แต่ก็ยังมาแสดงความคิดเห็นอีกว่า mou 44 ไปยอมรับเส้นไหล่ทวีปของ กพช และจะทำให้เสียดินแดน ทั้งๆที่กรมสนธิสัญญาฯบอกไม่ใช่ ก็ยังด้อยค่าเขาอีก ทำเช่นนี้ใครได้ประโยชน์ครับ” นายนพดล กล่าว