'พ่อแม้ว-ลูกอุ๊งอิ๊ง' แบ่งบท จุดแข็ง - จุดอ่อน นายกฯ คู่

'พ่อแม้ว-ลูกอุ๊งอิ๊ง' แบ่งบท จุดแข็ง - จุดอ่อน นายกฯ คู่

ยุทธศาสตร์ “นายกฯ คู่”ที่มี “ทักษิณ” ขับเคลื่อนการเมืองหลังฉาก คอยเปิดดีลสำคัญในทุกมิติ และมี “นายกฯ อุ๊งอิ๊ง” เปิดการแสดงอยู่หน้าฉาก เดินเกมอำนาจไปตามกรอบกฎหมาย รอดีล วงลับจบ ค่อยเคลื่อนเกม

KEY

POINTS

  • บทบาท “นายกฯ คู่” ระหว่าง “นายกฯ ผู้พ่อ” ทักษิณ ชินวัตร และ “นายกฯ ผู้ลูก” แพทองธาร ชินวัตร แจ่มชัดมากยิ่งขึ้น
  • พ่อแม้ว - ลูกอุ๊งอิ๊ง สร้างจุดแข็งด้วย “ระบอบสองนายกฯ” โดยแบ่งบทกันเล่น แยกกับทุบแบ่งกันเก็บแต้ม
  • ยุทธศาสตร์ “นายกฯ คู่” “ทักษิณ” เคลื่อนการเมืองหลังฉาก “นายกฯ อุ๊งอิ๊ง” เปิดการแสดงอยู่หน้าฉาก เดินเกมอำนาจไปตามกรอบกฎหมาย รอดีล วงลับจบ ค่อยเคลื่อนเกม 

นับวันบทบาท “นายกฯ คู่” ระหว่าง “นายกฯ ผู้พ่อ” ทักษิณ ชินวัตร และ “นายกฯ ผู้ลูก” แพทองธาร ชินวัตร จะแจ่มชัดมากยิ่งขึ้น เป็นการเมืองในฝันของ “นายใหญ่” บ้านจันทร์ส่องหล้า

หากย้อนไปก่อนหน้านี้ “ทักษิณ” เคยมีบทเรียนจาก “นายกฯ นอกตระกูลชินวัตร” มาแล้ว โดยเฉพาะกรณีของ “ลุงหมัก” สมัคร สุนทรเวช นั่งเก้าอี้นายกฯ หลังพรรคพลังประชาชน เอาชนะการเลือกตั้งช่วงปลายปี 2550

แต่ “นายใหญ่” ไม่สามารถคอนโทรล “นายกฯ คนที่ 25” ได้อย่างใจต้องการ ทำให้เกิดแก๊งออฟโฟร์ขึ้นมาต่อรองอำนาจ ก่อนจะเปลี่ยนตัวให้ “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” เขยตระกูลชินวัตร มานั่งเก้าอี้นายกฯ คนที่ 26 แทน

เช่นเดียวกับในยุคของ “นายกฯ นิด” เศรษฐา ทวีสิน แม้ภาพภายนอกจะสื่อสารออกมาว่า “นายกฯ นิด - นายใหญ่” เดินการเมือง ประสานเสียงคีย์เดียวกัน แต่วงในรู้กันดีว่ามีหลายอย่างที่สองนายกฯ เห็นไม่ตรงกัน จน “นายกฯ หญิงพลัดถิ่น” ต้องอาสาช่วยเคลียร์ใจ

ที่สำคัญในช่วงรัฐบาลเศรษฐา อยู่ระหว่างรอยต่อที่ “นายใหญ่” ได้รับการพักโทษ ออกมาอยู่นอกโรงพยาบาลตำรวจ โดยมีการปรากฏตัวลงพื้นที่หลายครั้ง ให้สัมภาษณ์ทิศทางการเมืองจนถูกมองว่า มีการแย่งซีนการเมืองกัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อมาถึงยุคของ “นายกฯ อุ๊งอิ๊ง” การปรากฏตัว การให้สัมภาษณ์ของ “นายใหญ่” ถูกมองเป็นการขับเคลื่อนการเมืองแบบคู่ขนาน “ทักษิณ” คิด “แพทองธาร” ทำ ถูกนำมาใช้เป็นโมเดลขับเคลื่อนประเทศ โดยไม่มีรอยปริของความขัดแย้ง

เนื่องจาก “ทักษิณ” คือพ่อนายกฯ “นายกฯ อุ๊งอิ๊ง” คือลูกอดีตนายกฯ การแก่งแย่งชิงดี - ชิงเด่น จึงไม่เกิดขึ้น แต่กลับกลบจุดอ่อน สร้างจุดแข็งด้วย “ระบอบสองนายกฯ” โดยแบ่งบทกันเล่น แยกกับทุบ แบ่งกันเก็บแต้ม

ย้อนไปในช่วงกลางเดือนธ.ค.2567 “นายใหญ่” หล่นวาทกรรม “อีแอบ” จวก “พรรคร่วมรัฐบาล” ไม่ร่วมประชุม ครม.วาระการพิจารณาที่จะสุ่มเสี่ยงให้เกิดการตีความทางกฎหมาย ขู่ไล่ออกจากพรรคร่วมรัฐบาล หากไม่คิดจะช่วยกัน

จนมีการวิเคราะห์กันว่า “นายใหญ่” ส่งสัญญาณจะเขี่ย “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย รวมทั้ง “เดอะตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ รมว.พลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ออกจากพรรคร่วมรัฐบาล

ทว่า หลังจากนั้นไม่กี่วัน “นายกฯ อุ๊งอิ๊ง” เป็นคนออกมาดับไฟร้อนทางการเมือง ยืนยันว่า “พรรคร่วมรัฐบาล” ทำงานร่วมกันได้ดี ไม่มีพรรคไหนดื้อ พรรคร่วมรัฐบาลยังสามารถทำงานร่วมกันได้

ทั้งที่ วงลับกระซิบกระซาบกันว่า “นายกฯ ตึกไทยคู่ฟ้า” เป็นคนนำข่าวไปบอก “อดีตนายกฯ บ้านจันทร์ส่องหล้า” จนนำมาสู่วาทะเดือด “อีแอบ” สะเทือนการเมือง

ขณะเดียวกัน ระยะหลังเริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถามหา “นายกฯ ตัวจริง” แต่ทั้ง “ทักษิณ-แพทองธาร” ประสานเสียงช่วยกันทำงาน โดยนายกฯ อุ๊งอิ๊ง ระบุถึงบิดาว่า “ดิฉันเป็นลูก ดิฉันไม่ได้เป็นคู่แข่งกันท่าน (ทักษิณ) ดิฉันโตขึ้นมาในบ้านที่ท่านเป็นหัวหน้าครอบครัว การที่ท่านพูด หากเรานำมาประยุกต์ได้มันคือ สิ่งที่ดี”

ทุกตัวอักษร - ทุกคำพูดของ “นายกฯ อุ๊งอิ๊ง” ยืนยันได้อย่างดีว่า ไม่ว่า “ทักษิณ” จะขับเคลื่อนการเมืองในทิศทางใด ตัวเธอเอง ไม่ว่าจะในสถานะนายกฯ ในสถานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ไม่มีทางที่จะขัดข้องหมองใจในทุกการกระทำของบิดา

ด้าน “ทักษิณ” ก็ย้ำบนเวทีปราศรัยในหลายเวทีถึงลูกสาวว่า “นายกฯ อุ๊งอิ๊ง” ทำงานหนักมาตลอด ประชุมเพื่อเตรียมการในหลายด้าน พร้อมทั้งมั่นใจว่ารัฐบาลแพทองธาร จะสามารถพลิกฟื้นวิกฤติเศรษฐกิจได้ โดยทุกอย่างจะดีขึ้นในช่วงปลายปี 2568

นอกจากนี้ จุดแข็งของ “นายกฯ คู่” ยังสามารถแบ่งบทกันไล่ถล่ม “คู่แข่ง - คู่แค้น” ทางการเมือง โดยเฉพาะ “กลุ่มก่อม็อบ - กลุ่มวิจารณ์” โดยอดีตนายกฯ ผู้พ่อ มักจะเล่นบทแรง เป็นคนออกมาปราบด้วยตัวเอง

ล่าสุด ทักษิณออกมาจัดหนัก ถล่มด่า “ควาย” ด่า “พ่อแม่” พร้อมจะโยนเชือกให้ผูกคอ ทุกคำพูดของ “ทักษิณ” แม้จะรุนแรง แต่ต้องการชกหมัดตรง “คู่แข่ง - คู่แค้น” เบรกเกมรุก ไม่ให้อีกฝ่ายมาโจมตี “ลูกสาว” และหากยังไม่หยุด ก็พร้อมดับเครื่องชน

ปฏิบัติการของ “ทักษิณ” เสมือนเป็นกันชนให้ “แพทองธาร” อย่างเปิดเผย เพราะหาก “นายกฯ อุ๊งอิ๊ง” ต้องออกมาดับเครื่องชนด้วยตัวเอง ย่อมส่งผลต่อภาพลักษณ์ และเสี่ยงจะเสียแต้มทางการเมือง

ดังนั้นยุทธศาสตร์ “นายกฯ คู่” ที่มี “ทักษิณ” ขับเคลื่อนการเมืองหลังฉาก คอยเปิดดีลสำคัญในทุกมิติ และมี “นายกฯ อุ๊งอิ๊ง” เปิดการแสดงอยู่หน้าฉาก เดินเกมอำนาจไปตามกรอบกฎหมาย รอดีล วงลับจบ ค่อยเคลื่อนเกม 

แม้การเดินการเมืองเช่นนี้ จะมองว่าเป็นจุดแข็ง ขณะเดียวกันก็เป็นจุดอ่อน ที่สองนายกฯ พ่อลูก ต้องบาลานซ์ให้ดี 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์