'ปิยบุตร' ชง 2 ภารกิจ 1 ข้อคิดให้พรรคการเมืองที่ต้องการเปลี่ยนแปลงปี 68

'ปิยบุตร' ชง 2 ภารกิจ 1 ข้อคิดให้พรรคการเมืองที่ต้องการเปลี่ยนแปลงปี 68

'ปิยบุตร' โพสต์ปลุกพรรคการเมืองที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศขนานใหญ่ 2 ภารกิจสำคัญต้องทำ ติดอาวุธความคิดเปลี่ยนแฟนคลับเป็น 'หัวคะแนนธรรมชาติ' แปลงคำขวัญนามธรรมให้เป็นรูปธรรม ชง 1 ข้อคิด ถ้าชนะเลือกตั้งอีกแล้วไม่ได้จัดตั้งรัฐบาล ทำอย่างไรต่อ

เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2568 ที่ผ่านมา นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงภารกิจของพรรคการเมืองที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศขนานใหญ่ โดยระบุว่า 2025/2568 : 2 ภารกิจ 1 ข้อชวนคิด 2 ภารกิจ 
ในปี 2025/2568 นี้ พรรคการเมืองที่ต้องการเป็น “พรรคมวลชน/พรรคยุทธศาสตร์/พรรคอุดมการณ์” มีเป้าหมายเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศขนานใหญ่ มิใช่ลงเลือกตั้งเพื่อ “ขอแบ่ง” สัมปทานอำนาจรัฐเท่านั้น พรรคการเมืองที่มีแนวทางเช่นนี้ ต้องทำอะไร

มีภารกิจสำคัญอยู่ 2 ประการ  ภารกิจแรก การติดอาวุธความคิดและการ politicize มวลชน มวลชนของพรรค มีตั้งแต่ผู้ลงคะแนนเลือกตั้งให้ แต่ไม่ได้ติดตามพรรค เข้าหน้าเลือกตั้งเมื่อไร ก็พร้อมลงคะแนนให้, ผู้มีจิตใจปฏิพัทธ์กับพรรค บริจาคเงินให้พรรค เอาใจช่วยพรรค เป็นหัวคะแนนธรรมชาติช่วยกันบอกต่อ, ผู้ผูกมัดกับพรรค เอาการเอางาน ร่วมกิจกรรมพรรคอย่างสม่ำเสมอ, สมาชิกพรรค สมัครสมาชิกเพื่อส่งสัญญาณการสนับสนุนพรรค แต่ไม่ได้ผูกมัดกับพรรค ไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรมพรรค, สมาชิกพรรคที่ผูกมัดกับพรรค เข้าร่วมกิจกรรมกับพรรค เป็นต้น

พรรคต้องติดอาวุธ ทำงานทางความคิดกับมวลชนของพรรคเหล่านี้ ทุกกลุ่ม เปลี่ยนโหวตเตอร์ ให้กลายเป็น ผู้สนับสนุนพรรค หัวคะแนนธรรมชาติ เปลี่ยนหัวคะแนนธรรมชาติ ให้กลายเป็น สมาชิกพรรค บริจาคให้พรรคสม่ำเสมอ เปลี่ยนสมาชิกพรรค ให้กลายเป็น สมาชิกพรรคที่เอาการเอางาน เป็น militant และมีพันธะผูกมัดกับพรรค หรือที่เรียกว่า militant engagé

จำนวนสมาชิกจะต้องไม่เป็นเพียง “จำนวนตัวเลข” ที่มีให้ครบตามที่กฎหมายบังคับให้มี จะต้องไม่เป็นเพียง “ยอด” ที่ต้องการมีมากๆเพื่อเป็นดัชนีชี้วัดผลงาน และส่งเสริมให้ได้เงินจากกองทุนพัฒนาการเมืองของ กกต. เท่านั้น แต่จำนวนสมาชิกที่มาก ต้องมากในแง่ความเป็น militant engagé ด้วย พรรคต้องมีมวลชนที่เป็นทั้ง “ผนังทองแดงกำแพงเหล็ก” ให้พรรค ยามเมื่อพรรคถูกรุมกระหน่ำ เป็นทั้ง “เท้าที่คอยถีบคอยดัน” ให้พรรคก้าวไปข้างหน้า และเป็นทั้ง “สัญญาณเตือนภัย” ให้พรรค ยามเมื่อพรรคออกนอกลู่นอกทาง

นอกจากพรรคต้องทำความคิดกับมวลชนเดิมแล้ว พรรคก็ต้องขยายฐานมวลชนออกไป ให้ครอบคลุมถึงอาณาบริเวณอื่น เพิ่มจำนวนมวลชนของพรรคให้มากขึ้น เปลี่ยนมวลชนของพรรคอื่นให้เป็นมวลชนของพรรคเรา ถ้าเปลี่ยนไม่ได้ อย่างน้อยต้องไม่เป็นศัตรูกับเรา

ในการเลือกตั้งครั้งหน้า จำนวนคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง ตีตัวเลขกลมๆเสีย 20 ล้าน  ร้อยละ 10 ของ 20 ล้าน คือ 2 ล้าน
จำนวน 2 ล้าน ต้องไม่เป็นแค่ตัวเลข แต่เป็นพลัง พรรคจำเป็นต้องติดอาวุธความคิดมวลชน เพื่อเปลี่ยนจำนวนเหล่านี้ที่อยู่ในหีบบัตร ให้กลายเป็นคนที่พร้อมออกมาแสดงตนในพื้นที่สาธารณะ

ยามใดมีวิกฤตการเมือง นิติสงคราม ยุบพรรค ตัดสิทธิ หรือรัฐประหาร เวียนว่ายกลับมาอีก พรรคต้องทำหน้าที่เป็นกองหน้านำมวลชน จาก “ตัวเลขจำนวนนับ” ระเบิดพลังกลายเป็น “เจ้าของประเทศ/ผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ” ปรากฏการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากพรรคไม่ติดอาวุธความคิด จัดตั้ง และ politicize มวลชนตั้งแต่วันนี้

\'ปิยบุตร\' ชง 2 ภารกิจ 1 ข้อคิดให้พรรคการเมืองที่ต้องการเปลี่ยนแปลงปี 68

การทำความคิดกับมวลชน หมายถึงอะไร การเอานโยบายพรรคไปบอกต่อ ให้คนเห็นด้วย ให้คนช่วยกันกระจายข้อมูล นั่นก็ส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด และไม่เพียงพอ หากทำเพียงเท่านี้ เราก็จะมีมวลชนที่อุทิศตนเป็น “หัวคะแนนธรรมชาติ” ในการเลือกตั้งแต่ละครั้งเท่านั้น แต่ไปไม่ถึงการมีมวลชนที่เป็น militant และ engagé ที่พร้อมลุกขึ้นสู้ร่วมกับพรรค 

พรรคการเมืองมีผู้สนับสนุนทั้งในภาคพื้นดินและภาคออนไลน์ แห่แหนตามไปเจอ ไปฟัง ไปถ่ายรูป ไปกรี๊ดกร๊าด ในทุกโอกาสที่มีแกนนำพรรคไป หมั่นปกป้องแกนนำพรรคราวกับแฟนคลับนักร้องนักแสดง และคอยโต้เถียงกับผู้สนับสนุนฝั่งตรงข้าม สิ่งเหล่านี้ก็อาจมีประโยชน์ มีก็ดีกว่าไม่มี แต่หากมีเพียงเท่านี้ ยังไม่เพียงพอสำหรับการเป็น “พรรคมวลชน/พรรคยุทธศาสตร์/พรรคอุดมการณ์” 

พรรคต้องทำหน้าที่ยกระดับมวลชน ใช้ “เสียงกรี๊ดกร๊าด” “การแห่แหน” เหล่านั้น เป็นช่องทางเริ่มต้นในการค่อยๆปรับเปลี่ยนความคิดให้เป็น “การเมือง” มากขึ้น เปลี่ยนจากการชื่นชอบรูปร่าง หน้าตา บุคลิกภาพ ของตัวบุคคล ให้กลายเป็นชื่นชอบ เชื่อมั่น และยึดมั่นความคิดและแนวทางของขบวน เปลี่ยนจากความกระตือรือร้นในการติดตาม ขอถ่ายรูป และโพสลงโซเชียล ให้กลายเป็นความกระตือรือร้นในการศึกษา ค้นคว้า ทำความเข้าใจความคิด แนวทาง อุดมการณ์อย่างลึกซึ้ง

สำหรับบรรดาแกนนำหรือตัวแทนของพรรคที่ไปรับตำแหน่งการเมืองและได้กระแสความนิยมจากมวลชน พวกท่านต้องไม่ติดยึดหรือหลงใหลเพลิดเพลินกับความนิยมป๊อปปูลาริตี้เหล่านั้น ต้องไม่ลืมว่าท่านเข้ามาในสนามนี้ มิใช่มาเพื่อเป็นเพียงนักการเมืองตามระบบปกติเท่านั้น แต่เมื่อสถานการณ์สุกงอมเพียงพอ ท่านต้องพร้อมเป็นนักปฏิวัติด้วย 

การหลงใหลเพลิดเพลินกับกระแสความนิยมมากจนเกินไป อาจทำให้ท่านละเลยภารกิจการเปลี่ยนแปลงประเทศของเรา หันไปสนใจแต่เรื่องของตนเอง ได้ยอดไลค์ ยอดแชร์เท่าไร มีคนติดตามขอถ่ายรูปเท่าไร มีคนติดตามรอพบเจอเท่าไร ต้องโพสหรือแสดงความเห็นอย่างไรให้ “ปัง” เพื่อให้ได้ออกรายการคุณสรยุทธ์ ต้องโพสมุมน่ารักตะมุตะมิอย่างไรถึงจะเป็นไวรัลในโลกโซเชียล  

ท่านต้องใช้ป๊อปปูลาริตี้ที่ท่านมีเพื่อขบวน มิใช่ใช้เพื่อตนเอง เมื่อประชาชนติดตามท่านมาก แทนที่จะเพลิดเพลินกับคนที่มาติดตามหรือแทนที่จะหล่อเลี้ยงแฟนคลับด้วยการเอาอกเอาใจ ท่านต้องใช้โอกาสนี้ในการทำความคิดกับพวกเขา หากความคิดใดไม่ถูกต้อง ท่านต้องกล้าแก้ไข ปรับความคิด ต้องกล้าเตือน เสนอแนะ ส่งสัญญาณ โดยไม่ต้องพะว้าพะวงว่าจะเสียฐานแฟนคลับ ดารา นักร้อง นักแสดง ใช้ป๊อปปูลาริตี้เพื่อตนเอง เพื่อรายได้ เพื่อได้งานมากขึ้น แต่นักการเมืองแบบปฏิวัติ ต้องใช้ป๊อปปูลาริตี้ เพื่อพรรค เพื่อขบวนการ เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคมขนาดใหญ่

ภารกิจที่สอง การแปลง “นามธรรม” ให้เป็น “รูปธรรม” “ต้องเปลี่ยนแปลง” “ใหม่” “พลังใหม่” “การเมืองใหม่” ถ้อยคำเหล่านี้ใช้เป็น “คำขวัญ” เพื่อชูธงรณรงค์ได้ แต่เมื่อใช้ไปนานวัน ก็อาจจะเฝือ ยิ่งเวลาผ่านไปนานเข้า พรรคยังไม่มีโอกาสมีและใช้อำนาจรัฐเพื่อเปลี่ยนแปลงเสียที คำขวัญเหล่านี้ จากเดิมที่ดูสดใหม่ก็กลายเป็นเรื่องนามธรรม และใช้ในการโฆษณารณรงค์เท่านั้น 

ผ่านการเลือกตั้งมาแล้วสองครั้ง ยังไม่มีโอกาสได้ “เปลี่ยนแปลง” ใดๆเลย โอกาสครั้งที่สามที่ประชาชนจะมอบให้ อาจเป็นโอกาสท้ายๆแล้ว จะได้โอกาสนี้ ก็ต้องทำให้ประชาชนจินตนาการให้เห็นถึง “โลกใหม่ สังคมใหม่” ที่พรรคพูดนั้น หน้าตาเป็นอย่างไร ไอ้ที่ว่า “ใหม่” ไอ้ที่ว่า “เปลี่ยน” นั้น รูปธรรมของมันคืออะไร 

ภารกิจสำคัญของคณะผู้รับผิดชอบการคิดค้นแคมเปญใหญ่ ก็คือ ทำอย่างไรให้ผู้คนเห็นภาพแจ่มชัด หากพรรคได้ครองอำนาจรัฐ ภายในกี่ปี ชีวิตจะเปลี่ยนไปอย่างไร สังคมจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ประเทศไทยจะปฏิรูปไปในทิศทางใด ลูกหลานของพวกเขา จะได้เกิดและเติบโตในสังคมแบบใด  

ทั้งหมดก็เพื่อให้ประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศ เชื่อมั่น มั่นใจ และพร้อมเทคะแนนให้อย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งครั้งหน้า ให้มวลชนของพรรคที่อย่างไรก็เลือก ยังคงมั่นใจพวกท่าน ให้โอกาสพวกท่านต่อไป ให้มวลชนที่ไม่ได้เลือกพวกท่านในคราวก่อน เปลี่ยนใจมาเลือกพวกท่านในคราวหน้า เพราะ พวกท่านคือ “ความหวังเดียว” ที่เหลืออยู่ ให้มวลชนผู้ไม่ชอบ ไม่ไว้ใจ ไม่เชื่อใจ เกลียด หรือกลัว พวกท่าน ยอมรับว่า ประเทศของเราต้องเปลี่ยนแปลง และพวกท่านคือพลังแห่งการเปลี่ยนแปลง ที่จะทำให้ประเทศของเราดีขึ้น ได้ประโยชน์ผาสุกกันทุกฝักฝ่าย 

1 ข้อชวนคิด การเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ในประเทศของเรา ไม่มีทางสำเร็จได้ด้วยการใช้กลไกตามระบบรัฐสภาและการเลือกตั้งแต่เพียงอย่างเดียว เช่นเดียวกัน มวลชนผู้ต้องการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ในประเทศของเรา ก็มิอาจละทิ้งแนวทางรัฐสภา การมีพรรคการเมือง และการเลือกตั้งไปได้ 

ปรัชญาเมธีปฏิวัติและนักปฏิวัติ เช่น เลนินและกรัมชี่ ไม่ได้ปฏิเสธการเลือกตั้งและระบบรัฐสภาโดยเด็ดขาด แต่ชี้ชวนให้เราเห็นคุณประโยชน์ของการเลือกตั้งและระบบรัฐสภา ในช่วงเวลาที่ยังไม่สุกงอมเพียงพอ นักปฏิวัติต้องใช้การเลือกตั้งและระบบรัฐสภาเป็นพื้นที่ในการรณรงค์ต่อสู้ ทำงานทางความคิด เปลี่ยนใจผู้คน สะสมกำลัง เพื่อเปลี่ยนแปลงใหญ่ในอนาคต พรรคการเมืองที่มีแนวทางการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ จึงต้องมอง “การเลือกตั้งและระบบรัฐสภา” เป็นวิธีการ มิใช่เป้าหมาย และใช้มันเป็นเครื่องมือในระยะเปลี่ยนผ่าน ในช่วงที่กำลังทั้งทางปริมาณและคุณภาพยังไม่มากเพียงพอที่จะเอาชนะได้ในตาเดียว และยังคงจำเป็นต้องสู้ภายใต้ระบบของพวกเขา   

อย่างไรก็ตาม ในระยะเปลี่ยนผ่านที่ต้องสู้กันในระบบรัฐสภาและการเลือกตั้งแบบที่เป็นอยู่นี้ ด้านหนึ่ง พรรคได้รับคะแนนนิยมสูงมากขึ้น เป็นความหวังของมวลชน แต่อีกด้านหนึ่ง “ระบอบ” ได้ติดตั้งกลไกปิดล้อมเอาไว้หมด จนพรรคไม่สามารถทำอะไรได้ หรือทำได้แต่เพียงเล็กน้อยมากตามที่พวกเขา “อนุญาต” พรรคหาช่องทางในระบบรัฐสภาและการเลือกตั้งเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในช่วงเปลี่ยนผ่านได้น้อยมาก ในท้ายที่สุด หากสภาวะเช่นนี้ยังคงดำรงอยู่ต่อไป พรรคจะใช้การเลือกตั้งและระบบรัฐสภาทำหน้าที่อะไรได้อีกบ้าง 

หากไม่คิดอ่าน ตระเตรียมเรื่องเหล่านี้ สุดท้าย การเลือกตั้งและระบบรัฐสภาที่เราวางไว้เป็น “เครื่องมือ” ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ก็จะกลายเป็น “เครื่องมือ” ที่ทำให้คนหน้าใหม่ได้กลายเป็นอำมาตย์ใหม่ ยกสถานะเป็นชนชั้นนำทางการเมืองกลุ่มใหม่ ได้เข้าสู่อำนาจรัฐ ได้เป็น “พะนะทั่น” รับสิทธิประโยชน์โพดผลของกำนัลจนเคยตัว

การเลือกตั้งและระบบรัฐสภาที่เราต้องการใช้เป็น “สะพาน” เชื่อมต่อไปสู่การต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ก็ถูกลดระดับให้กลายเป็น “โรงละคร” ของระบอบ Entertainocracy ให้นักการเมืองของพรรคได้ออกมาแสดง เล่นตามบทที่ตนรับ เพื่อแสวงหายอดคนดู ยอดไลค์ ยอดแชร์ ยอดโหวต ในเกมโชว์ เรียลลิตี้โชว์

เลือกตั้ง - ถูกสกัดขัดขวาง ไม่ให้เป็นรัฐบาล - ยุบพรรค ตัดสิทธิ - นิติสงคราม - ตั้งพรรคใหม่ - ทำงานสภา แต่ไม่สำเร็จเพราะโดนสกัดขัดขวางโดยเหล่า “ผู้แทนของผู้มีอำนาจออกใบอนุญาตที่สอง” และกลไกต่างๆในรัฐธรรมนูญ - งานสภาเป็นได้แต่เพียงช่องทางการหาคะแนนนิยม - เลือกตั้ง - ชนะ - นิติสงคราม/รัฐประหาร - ยุบพรรค ตัดสิทธิ - ตั้งพรรคใหม่ – เลือกตั้ง ... 
หากวงจรเช่นนี้ยังวนเวียนอยู่ต่อไปจะทำเช่นไร? 

ถ้าชนะเลือกตั้ง ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง แต่ไม่ได้เป็นรัฐบาล ด้วยกลไกนิติสงคราม หรือรัฐประหาร จะทำเช่นไร? ถ้าชนะเลือกตั้ง ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง ได้เป็นรัฐบาล ดำเนินการในเรื่องแหลมคม ต่อมาโดนกลไกนิติสงคราม หรือรัฐประหาร จะทำเช่นไร? 

ถ้าได้เสียงจำนวนมาก เป็นลำดับที่ 1 มีจำนวน ส.ส.ไม่เกินกึ่งหนึ่ง แต่ถูกสกัดขัดขวางจนไม่ได้เป็นรัฐบาล จะทำเช่นไร? ถ้าได้เสียงจำนวนมาก เป็นลำดับที่ 1 มีจำนวน ส.ส.ไม่เกินกึ่งหนึ่ง แต่ฝ่าวงล้อมจัดตั้งรัฐบาลผสมได้ เมื่อเป็นรัฐบาลแล้วจะดำเนินการเรื่องใด? เรื่องใดทำ? เรื่องใดไม่ทำ? 

ฉากจำลองสถานการณ์เหล่านี้ มัดรวมได้เป็น 1 ข้อชวนคิด นั่นคือ... การต่อสู้ผ่านการเลือกตั้งและระบบรัฐสภา จะดำเนินต่อไปได้จนถึงเมื่อไร? พรรคการเมืองจะจำกัดบทบาทเฉพาะการเลือกตั้งและระบบรัฐสภาได้ไปจนถึงเมื่อไร?

ภาพและข้อมูลจาก: Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล