ฉบับเต็ม! สร.รฟท.ร้อง บก.ปปป.สอบ 'อธิบดีกรมที่ดิน-พวก' ปมเขากระโดง

เปิดหนังสือฉบับเต็ม! สร.รฟท.ยื่นร้องทุกข์ต่อ บก.ปปป.กล่าวโทษเอาผิด 'อธิบดีกรมที่ดิน-พวก' 12 คน ปมไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิ 'เขากระโดง' หลังสารพัดศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ที่ดินโดยรอบเป็นของ รฟท.
เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2568 ที่กองบังคับการกองปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย (สร.รฟท.) และคณะ เดินทางมายื่นคำร้องทุกข์กล่าวโทษนายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน กับคณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ตามคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินที่ 1195 - 1196 / 2566 ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 รวม 12 คน ฐานเป็น เจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และ ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมาย หรือคำสั่ง ซึ่งได้สั่งเพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย ไม่ดำเนินการป้องกัน หรือขัดขวางมิให้การเป็นไปตามกฎหมาย หรือคำสั่งตามคำพิพากษาของศาลนั้น เพื่อให้เกิดความเสียหายกับที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยไม่ดำเนินการพิจารณาเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินรถไฟบริเวณเขากระโดง อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ ที่ออกโดยคลาดเคลื่อน หรือ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายที่ดิน
โดย สร.รฟท. มีวัตถุประสงค์ตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.2543 มาตรา 40 (4) และตามข้อบังคับของสหภาพฯ ข้อ 6 (6) ในการดำเนินการให้ความร่วมมือในการสร้างประสิทธิภาพและรักษาผลประโยชน์ของรัฐวิสาหกิจ โดย นายสราวุธ สราญวงศ์ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย ผู้มีอำนาจกระทำการแทน ได้รับมอบอำนาจจากคณะกรรมการสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 10/2567 เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2567 ให้ดำเนินการร้องทุกข์หรือกล่าวโทษ นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน กับคณะกรรมการสอบสวน ตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ตามคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินที่ 1195-1196 / 2566 ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 รวม 12 คน ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมาย หรือคำสั่ง ตามคำพิพากษาของศาล ซึ่งได้สั่งเพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย ป้องกัน หรือขัดขวางมิให้การเป็นไปตามกฎหมาย หรือคำสั่งตามคำพิพากษาของศาลนั้น เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน โดยไม่ดำเนินการพิจารณาเพิกถอนเอกสารสิทธิ บริเวณที่ดินรถไฟเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ที่ออกโดยคลาดเคลื่อน หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายที่ดิน ดังมีรายชื่อผู้ถูกร้องทุกข์หรือกล่าวโทษ ดังต่อไปนี้
1.นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน
2.นายเทียนทอง อัศวมหาศักดา คณะกรรมการฯตามคำสั่งที่ 1195/2566
3.นายทวีศักดิ์ ทองอยู่ คณะกรรมการฯตามคำสั่งที่ 1195/2566
4.นายวัชระ มาลัยมาตร คณะกรรมการฯตามคำสั่งที่ 1195/2566
5.ว่าที่ ร.ต.สมศักดิ์ สันประเสริฐ คณะกรรมการฯตามคำสั่งที่ 1196/2566
6.นายเกรียงศักดิ์ สมจิตร คณะกรรมการฯตามคำสั่งที่ 1195,1196/2566
7.นายริว-กันวลินท์ เมืองแก้ว คณะกรรมการฯตามคำสั่งที่ 1195,1196/2566
8.นายคำเคลื่อน พณะชัย คณะกรรมการฯตามคำสั่งที่ 1195,1196/2566
9.นายธนกรณ์ นวลพริ้ง คณะกรรมการฯตามคำสั่งที่ 1195/2566
10.นายนนท์วัช นาคนาง คณะกรรมการฯตามคำสั่งที่ 1195/2566
11.นายสุพจน์ สวัสดิ์พุทรา คณะกรรมการฯตามคำสั่งที่ 1196/2566
12.นางวรพิชญา นาควัชระ คณะกรรมการฯตามคำสั่งที่ 1196/2566
เนื่องด้วยผู้ถูกร้องทุกข์หรือกล่าวโทษทั้งหมด มีหน้าที่ปฎิบัติให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 842 - 876 / 2560 ลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2560, คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8027 / 2561 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2561 ลงวันที่ 22 เมษายน 2563 , คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 คดีหมายเลขดำที่ 111 / 2563 คดีหมายเลขแดงที่ 1112 / 2563 ซึ่งได้ผ่านการตรวจสอบพิสูจน์พยานหลักฐาน และเอกสารที่เกี่ยวข้องจนสิ้นข้อสงสัยจากศาลยุติธรรมแล้ว ซึ่งได้โปรดมีคำพิพากษา และวินิจฉัยไว้ชัดแจ้งว่า ที่ดินของกรมรถไฟแผ่นดินสายนครราชสีมา ถึงอุบลราชธานี ตอนแยกที่ย่อยศิลา ต.เขากระโดง จ.บุรีรัมย์ กิโลเมตรที่ 375+650 เป็นส่วนหนึ่งของพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตร์สร้างทางรถไฟต่อจากนครราชสีมา ถึงอุบลราชธานี ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2462 เมื่อกรมรถไฟแผ่นดินได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินโดยการก่อสร้างทางรถไฟเข้าไปลำเลียงหินที่บริเวณเขากระโดง จึงถือได้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย
โดยคดีดังกล่าวได้มีคำพิพากษาของศาลฎีกา ที่ถือเป็นที่สุดแล้ว ซึ่งจะเห็นได้ว่า จากคำพิพากษาของศาลดังกล่าว ที่ดินตามแผนที่แสดงเขตที่ดินของกรมรถไฟแผ่นดินสายนครราชสีมา - อุบลราชธานี ตอนแยกไปยังที่ย่อยศิลา ตำบลเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ เป็นที่ดินที่จัดหามาเพื่อใช้ในกิจการรถไฟโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ในความหมายของคำว่า “ที่ดินรถไฟ”ตามมาตรา 3 (2) แห่งพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟแลทางหลวง พระพุทธศักราช 2464 ที่มีผลบังคับใช้อยู่ในเวลานั้น ย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกรมรถไฟแผ่นดินตามมาตรา 25 และได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 6 (1) และ (2) แห่งพระราชบัญญัติการจัดวางการรถไฟและทางหลวงพระพุทธศักราช 2464
ซึ่ง “ที่ดินรถไฟ” จึงถือเป็นที่ดินของรัฐประเภทหนึ่ง ซึ่งอธิบดีกรมที่ดิน มีหน้าที่และมีอํานาจดูแลรักษา รวมทั้ง ดําเนินการคุ้มครองป้องกันได้ตามควรแก่กรณี ตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 2 ,มาตรา 8 ,และมาตรา 61 ตามที่กำหนดในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมที่ดินกระทรวงมหาดไทย พ.ศ.2557 ข้อ 2 ให้กรมที่ดินมีภารกิจเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิที่ดินของบุคคลและจัดการที่ดินของรัฐ....และข้อ 18 สำนักจัดการที่ดินของรัฐมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ ...(2) ดำเนินการเกี่ยวกับการคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน หรือเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายที่ดิน
ประกอบกับเมื่อข้อเท็จจริงที่มีผลเกี่ยวเนื่องจากคำพิพากษาศาลฎีกาทั้งสองคดีดังกล่าว อธิบดีกรมที่ดินได้มีคำสั่งกรมที่ดิน ที่ 2992/2564 ลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 แก้ไขรูปแผนที่และเนื้อที่ในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ข.) เลขที่ 200 หมู่ 9 ต.เสม็ด อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ ตามผลแห่งคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8027 / 2561 ลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2561 และสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ ได้ดำเนินการยกเลิกใบไต่สวนพร้อมจำหน่าย ส.ค.1 เลขที่ 209 หมู่ 1 ต.อิสาณ อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ ออกจากทะเบียนการครอบครองที่ดินและยกเลิกเรื่องการขอออกโฉนดที่ดินจำนวน 40 ฉบับ ของประชาชนจำนวน 35 รายตามผลแห่งคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 842 - 876 / 2560 ลงวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2560 รวมทั้งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็ได้มีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลจังหวัดบุรีรัมย์ และเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 206 ต.เสม็ด อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งที่ดินทั้งหมดข้างต้นเกิดขึ้นในพื้นที่ที่ผู้ฟ้องคดี (การรถไฟแห่งประเทศไทย) กล่าวอ้างว่าเป็นการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินทับซ้อนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยคำพิพากษาศาลได้วินิจฉัยอย่างชัดแจ้งถึงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย
นอกจากนี้ ตามคำพิพากษาศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขดำที่ 2494 / 2564 คดีหมายเลขแดงที่ 552/2566 ลงวันที่ 30 มีนาคม 2566 ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏอยู่ในหน้าที่ 27 ฟังได้ว่า.... ที่ดินบริเวณทางแยกเขากระโดง ต.อิสาณ อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์เป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ได้มาตามพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟแลทางหลวง พระพุทธศักราช 2464 และถือเป็นที่ดินของรัฐประเภทหนึ่ง กรมที่ดินจึงมีหน้าที่ในการคุ้มครองและป้องกันที่ดินบริเวณดังกล่าวตามที่กำหนดในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมที่ดินกระทรวงมหาดไทย พ.ศ.2557
แม้ในคำพิพากษาของศาลฎีกาทั้งสองคดี และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะไม่ได้วินิจฉัยให้เพิกถอนที่ดินแปลงอื่นๆ ซึ่งอยู่ภายในบริเวณของแผนที่พิพาท อันเป็นกรรมสิทธิ์ในที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย นอกเหนือจากจำเลยทั้งหมดในคดีดังกล่าวแล้วก็ตาม แต่คำพิพากษาดังกล่าวก็ได้วินิจฉัยอย่างชัดแจ้งถึงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งสามารถใช้ยันกับบุคคลภายนอกได้ เว้นแต่บุคคลภายนอกนั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่า
อีกทั้งที่ดินบริเวณพิพาทที่ศาลได้โปรดมีคำพิพากษาดังกล่าว ยังอ้างถึงฐานะความเป็นที่ดินของรัฐ ซึ่งสามารถใช้จัดทำบริการสาธารณะให้แก่ประชาชนทั่วไปได้ หาใช่มีผลผูกพันเฉพาะคู่ความในคดีตามมาตรา 145 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตามที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง (กรมที่ดิน /อธิบดีกรมที่ดิน) กล่าวอ้างแต่อย่างใดไม่ โดยศาลปกครองได้โปรดมีคำพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดี (กรมที่ดิน/อธิบดีกรมที่ดิน) ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ทั้งนี้ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (อธิบดีกรมที่ดิน) มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 วรรค 2 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินให้แล้วเสร็จภายใน 15 วันนับแต่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด โดยมีข้อสังเกตกับแนวทางหรือวิธีการดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษา ให้ผู้ฟ้องคดี (รฟท.) ร่วมกับคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 วรรค 2 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ทำการตรวจสอบแนวเขตที่ดินบริเวณเขากระโดง ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อหาแนวเขตที่ดินที่เป็นของผู้ฟ้องคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกา
จากคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ได้มีคำวินิจฉัยเกี่ยวกับสถานะของที่ดินบริเวณทางแยกเขากระโดง ที่สอดคล้องกับคำพิพากษาศาลฎีกาและคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ว่าที่ดินบริเวณทางแยกเขากระโดงเป็นที่ดินกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ข้อเท็จจริงเป็นยุติแล้วว่าที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย อธิบดีกรมที่ดินไม่มีอำนาจหรือดุลพินิจไปวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นซึ่งต่างไปจากคำพิพากษาของศาล คงมีเพียงหน้าที่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลปกครองที่กำหนดให้อธิบดีกรมที่ดินดำเนินการแต่งตั้งกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เพื่อดำเนินการเพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่ออกทับซ้อนที่ดินกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทยเท่านั้น แต่เมื่ออธิบดีกรมที่ดินมีคำสั่งไม่เพิกถอนเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินดังกล่าว ตามความเห็นของคณะกรรมการสอบสวน จึงถือเป็นการละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามหน้าที่ของอธิบดีกรมที่ดิน เป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ประกอบกับ หนังสือคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ นร.0601/211 ลงวันที่ 17 มีนาคม 2541 คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ 7) พิจารณาสรุปเป็นที่ยุติแล้ว เห็นว่า ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ที่ดินที่ราษฎร์ครอบครองบริเวณเขากระโดง อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ อยู่ภายในแนวเขตตามแผนที่ที่เจ้าหน้าที่กรมรถไฟแผ่นดินได้สำรวจ และ จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการจัดซื้อที่ดินตามพระราชกฤษฎีกาฉบับ พ.ศ. 2464 แต่ที่ดินในส่วนที่เป็นปัญหากรณีนี้ มิได้ดำเนินการจัดซื้อ เพราะในแผนที่ กำหนดไว้ว่าเป็นที่ป่ายังไม่มีเอกชนครอบครองทำประโยชน์
แม้ว่าพระราชกฤษฎีกาฯ พ.ศ. 2464 ได้กำหนดแนวเขตอย่างกว้างไว้สำหรับการสำรวจเพื่อสร้างทางรถไฟและไม่มีผลเป็นการเวนคืนที่ดินตามความเห็นของผู้แทนกรมที่ดินก็ตาม แต่เมื่อได้ทำการสำรวจเส้นทางที่แน่นอน และทราบจำนวนที่ดินที่มีความจำเป็นต้องใช้แล้ว ก็จะมีการตราพระราชกฤษฎีกา จัดซื้อจากเอกชนและยกเลิกพระราชกฤษฎีกา พ.ศ. 2462 เป็นตอนๆ ตามแนวทางที่ได้สำรวจแน่นอนแล้วนี้ ประกอบด้วยที่ดินของเอกชนที่จะต้องจัดซื้อตามพระราชกฤษฎีกา และที่ดินรกร้างว่างเปล่าของรัฐที่ไม่จำเป็นต้องจัดซื้อ แต่มีสภาพเป็นที่ดินที่หวงห้ามไว้ในราชการ การยกเลิกพระราชกฤษฎีกา พ.ศ. 2462 ย่อมหมายถึงยกเลิกการสงวนหวงห้ามที่ดินซึ่งเป็นของเอกชนในส่วนที่นอกเหนือจากแนวเขตที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาจัดซื้อที่ดินเท่านั้น มิใช่ยกเลิกการหวงห้ามทั้งหมด
เมื่อปรากฏว่าการสำรวจที่ดินเพื่อกำหนดแนวเขตที่ดินที่ใช้สร้างทางรถไฟในปี พ.ศ. 2464 ได้ดำเนินการโดยครบถ้วน รวมทั้งกรมรถไฟแผ่นดินได้จัดทำแผนที่แสดงแนวเขตที่ดินของกรมรถไฟแสดงไว้โดยชัดแจ้งแล้ว โดยเฉพาะที่ดินบริเวณที่หารือซึ่งเป็นที่ดินที่อยู่ในแนวเขตที่ดินของกรมรถไฟในขณะนั้น มีสภาพเป็นที่ป่ายังไม่มีผู้ใดครอบครองทำประโยชน์ เมื่อกรมรถไฟแผ่นดินได้เข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินอันเป็นแหล่งวัสดุสำหรับการก่อสร้างทางรถไฟ จึงถือได้ว่าเป็นการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าไว้ใช้ในราชการตามกฎหมายแล้ว ที่ดินนั้นจักเข้าลักษณะเป็นดินรถไฟตามมาตรา 3 (2) และได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟแลทางหลวง พ.ศ.2464 ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้แจ้งตอบข้อหารือดังกล่าวไปยังอธิบดีกรมที่ดินแล้ว ตามหนังสือที่ นร.0601/211 ลงวันที่ 17 มีนาคม 2541
ทั้งในรายงานการไต่สวนข้อเท็จจริงของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ช.ช.) ลงวันที่ 12 กันยายน 2554 ซึ่งปรากฏตามรายงานการไต่สวนข้อเท็จจริงและข้อกล่าวหา กรณีเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยละเว้นไม่ดำเนินการกับผู้บุกรุกที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่นายชัย ชิดชอบ ขอออกโฉนดที่ดินเลขที่ 3466 และ นางกรุณา ชิดชอบ ถือกรรมสิทธิ์โฉนดที่ดินเลขที่ 8564 ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ที่ออกทับซ้อนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย
โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาแล้วมีมติว่า ...การออกโฉนดที่ดินเลขที่ 3466 และ 8564 เป็นการออกโฉนดในที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นที่สงวนหวงห้ามมิให้ออกโฉนดที่ดิน จึงเป็นการออกโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และแจ้งให้กรมที่ดินดำเนินการเพิกถอนโฉนดที่ดินดังกล่าวตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 99 แต่กรมที่ดินไม่ดำเนินการตามหน้าที่ ในการดูแลรักษา คุ้มครอง และป้องกันกรรมสิทธิ์ในที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 อันเป็นการฝ่าฝืน และขัดคำสั่งของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ช.ช.)
โดยพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟแลทางหลวง พระพุทธศักราช 2464 และพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ.2494 ได้ระบุความหมายของคำว่า “ที่ดินรถไฟ” ตามมาตรา 3 (2) แห่งพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟแลทางหลวง พระพุทธศักราช 2464 ที่มีผลบังคับใช้อยู่ในขณะนั้น ให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น ดังได้ระบุกล่าวไว้ในพระราชกฤษฎีกานั้น ตกมาเป็นของกรมรถไฟแผ่นดิน ตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟแลทางหลวง พระพุทธศักราช 2464 เว้นแต่จะได้มีประกาศ หรือ กฎหมายตามพระราชกระแสว่าขาดจากที่ดินรถไฟแล้ว ต่อมาเมื่อทรัพย์สินของกรมรถไฟได้โอนกรรมสิทธิ์ให้แก่การรถไฟแห่งประเทศไทย ตามพระราชบัญญัติการรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ.2494 และการรถไฟแห่งประเทศไทยได้รับการโอนกิจการจากกรมรถไฟแผ่นดิน ตามมาตรา 6 (1) และรับโอนทรัพย์สินตามมาตรา 10 ตามกฎหมายการจัดตั้งดังกล่าวแล้ว ที่ดินพิพาทในบริเวณดังกล่าว จึงตกมาเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย
จากข้อเท็จจริงดังที่กล่าวมาข้างต้น การรถไฟแห่งประเทศไทย จึงเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์และได้รับความคุ้มครองตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย ดังนั้น “ที่ดินรถไฟ” จึงถือเป็นที่ดินของรัฐประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ที่ได้มาตามพระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟแลทางหลวง พระพุทธศักราช 2464 อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน ตามมาตรา 2 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 กรมที่ดินโดยอธิบดีกรมที่ดิน จึงมีหน้าที่ในการดูแลรักษา คุ้มครอง และป้องกันที่ดินรถไฟดังกล่าว ตามอำนาจหน้าที่ ที่ได้กำหนดไว้ในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมที่ดินกระทรวงมหาดไทย พ.ศ.2557 ข้อ 2 ให้กรมที่ดินมีภารกิจเกี่ยวกับการคุ้มครองสิทธิที่ดินของบุคคลและจัดการที่ดินของรัฐ และข้อ 18 สำนักจัดการที่ดินของรัฐมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ ...(2) ดำเนินการเกี่ยวกับการคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน หรือเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายที่ดิน
ดังนั้น ตามหนังสือกรมที่ดิน ที่ มท.0536.2(2)/22162 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2567 เรื่อง การเพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่ออกทับซ้อนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่อธิบดีกรมที่ดิน มีหนังสือแจ้งถึงการรถไฟแห่งประเทศไทย เรื่องแจ้งผลพิจารณาของคณะกรรมการสอบสวนตามคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินที่ 1195 – 1196/2566 ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 โดยรายงานสรุปผลการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนตามคำสั่งอธิบดีกรมที่ดิน มีผลสรุปว่า....คณะกรรมการสอบสวนฯ ได้ร่วมพิจารณาและมีมติยืนยันความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนฯ โดยเห็นสมควรไม่เพิกถอนหรือแก้ไขหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินจนกว่า จะได้มีพยานหลักฐานที่สามารถใช้พิสูจน์ข้อเท็จจริงให้เป็นที่ยุติได้ รวมถึงเอกสารหลักฐานทางกฎหมายที่สามารถพิสูจน์กรรมสิทธิ์ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ยกเว้นในบริเวณที่มีพยานหลักฐานยืนยันว่า มีการเข้าใช้ประโยชน์โดยมีการสร้างทางรถไฟซึ่งจะต้องไม่เกินข้างละ 20 วา หรือ 40 เมตร โดยการรถไฟแห่งประเทศไทยจะต้องเป็นผู้นำพิสูจน์เข้าทำประโยชน์ ด้วยมติเป็นเอกฉันท์ ไม่มีคณะกรรมการสอบสวนท่านใดมีความเห็นแย้ง
โดยเฉพาะความเห็นในส่วนของอธิบดีกรมที่ดิน (ผู้ถูกร้องทุกข์หรือกล่าวโทษ ที่ 1) เมื่อพิจารณาผลการสอบสวนฯ ประกอบกับความเห็นของคณะกรรมการสอบสวน (ผู้ถูกร้องทุกข์หรือกล่าวโทษที่ 2 ถึง ที่ 12) ซึ่งเห็นว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ไม่สามารถนำพยานหลักฐานมาแสดงได้ให้เป็นที่ยุติว่าเป็นที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย รวมถึงตำแหน่งที่ตั้งขอบเขตที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย และผลการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนปรากฏว่า การออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในท้องที่ตำบลเสม็ด และตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ได้ดำเนินการไปตามขั้นตอนและวิธีการที่กฎหมายกำหนด
ดังนั้น จึงยังไม่มีพยานหลักฐานปรากฏชัดแจ้งเพียงพอให้รับฟังได้ว่า ได้มีการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไปโดยคลาดเคลื่อน หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่อธิบดีกรมที่ดิน หรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมที่ดินมอบหมายจะใช้พิจารณาเพิกถอนหรือแก้ไข ตามในข้อ 12 แห่งกฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการสอบสวน และการพิจารณาเพิกถอนหรือแก้ไขการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมหรือการจดแจ้งเอกสารรายการจดทะเบียนโดยคาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย พ.ศ 2553 จึงเห็นควรยุติเรื่องในกรณีนี้
แต่อย่างไรก็ดี หากการรถไฟแห่งประเทศไทยเห็นว่ามีสิทธิในที่ดินดีกว่าก็เป็นเรื่องที่ผู้มีสิทธิในที่ดิน จะต้องไปดำเนินการเพื่อพิสูจน์สิทธิในกระบวนการยุติธรรมทางศาลต่อไป จากเหตุผลของคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน อ้างว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยไม่สามารถนำแผนที่แนบท้าย พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น เพื่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมรถไฟหลวง ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2464 มาแสดงต่อคณะกรรมการสอบสวนได้ เป็นเหตุผลในการไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดิน ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ไม่สมเหตุสมผล และมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็น เนื่องจากอาณาเขตอันเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ปรากฏอยู่ในคำพิพากษาศาลฎีกาและศาลอุทธรณ์ภาค 3 โดยละเอียดแล้ว
การที่คณะกรรมการสอบสวนได้พิจารณาพยานหลักฐานแล้วมีความเห็นว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยไม่สามารถนำพยานหลักฐานมาแสดงให้เป็นที่ยุติว่าเป็นที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยรวมถึงตำแหน่งที่ตั้งขอบเขตที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย จึงพิจารณาไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดินนั้น เป็นการวินิจฉัยและใช้ดุลพินิจที่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงตามที่ศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ภาค 3 และหน่วยงานอื่นๆได้วินิจฉัยไว้แล้ว เป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ
ในส่วนความเห็นของคณะกรรมการสอบสวน ตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน (ผู้ถูกร้องทุกข์หรือกล่าวโทษที่ 2 ถึง ที่ 12) ตามคำสั่งอธิบดีกรมที่ดินที่ 1195-1196 / 2566 ลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2566 อ้างว่า ได้พิจารณาจากพยานหลักฐานและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นเอกสารชุดเดียวกับที่ศาลยุติธรรมได้ใช้พิจารณาจนคดีถึงที่สุดแล้ว แต่คณะกรรมการสอบสวนฯ (ผู้ถูกร้องทุกข์หรือกล่าวโทษที่ 2 ถึง ที่ 12) มีความเห็นในลักษณะขัดแย้งกับข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาของศาลดังกล่าวข้างต้น
จากเหตุผลของคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน อ้างว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยไม่สามารถนำแผนที่แนบท้าย พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดซื้อที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่างอื่น เพื่อสร้างทางรถไฟสายตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมรถไฟหลวง ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2464 มาแสดงต่อคณะกรรมการสอบสวนได้ เป็นเหตุผลในการไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดิน ซึ่งเป็นข้ออ้างที่ไม่สมเหตุสมผล และมีลักษณะเป็นการสร้างขั้นตอนโดยไม่จำเป็น เนื่องจากอาณาเขตอันเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ปรากฏอยู่ในคำพิพากษาศาลฎีกาและศาลอุทธรณ์ภาค 3 โดยละเอียดแล้ว
การที่คณะกรรมการสอบสวน (ผู้ถูกร้องทุกข์หรือกล่าวโทษที่ 2 ถึง ที่ 12) ได้พิจารณาพยานหลักฐานแล้วมีความเห็นว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยไม่สามารถนำพยานหลักฐานมาแสดงให้เป็นที่ยุติว่าเป็นที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทยรวมถึงตำแหน่งที่ตั้งขอบเขตที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย จึงพิจารณาไม่เพิกถอนเอกสารสิทธิในที่ดินนั้น เป็นการวินิจฉัยและใช้ดุลพินิจที่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงตามที่ศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์ภาค 3 และหน่วยงานอื่นๆได้วินิจฉัยไว้แล้ว เป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ
ทั้งข้อสังเกตของศาลปกครอง ที่ให้ผู้ฟ้องคดี คือการรถไฟแห่งประเทศไทย ร่วมกับคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 วรรค 2 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ทำการตรวจสอบแนวเขตที่ดินบริเวณเขากระโดง ตำบลอิสาณ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อหาแนวเขตที่ดินที่เป็นของผู้ฟ้องคดีจำนวน 5,083 ไร่ ตามคำพิพากษาศาลฎีกา โดยเจ้าหน้าที่ที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ และผู้แทนของการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ร่วมกันลงตรวจสอบพื้นที่ และได้ทำการปักหมุดตามแบบ ร.ว.9 เรียบร้อยแล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจสอบยืนยันความถูกต้องของพิกัดแผนที่นั้นยังดำเนินการไม่เสร็จสิ้น
ปรากฏว่าอธิบดีกรมที่ดิน (ผู้ถูกร้องทุกข์หรือกล่าวโทษที่ 1) มีหนังสือที่ มท.0536.2(2)/22162 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2567 ถึงการรถไฟแห่งประเทศไทย แจ้งคำสั่งยุติเรื่องการเพิกถอนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินที่ออกทับซ้อนที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย ออกมาโดยไม่รอการตรวจสอบหาแนวเขตที่ดินให้เสร็จสิ้น ในขณะที่สำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ได้ทำหนังสือถึงการรถไฟแห่งประเทศไทย ลงวันที่ 31 ตุลาคม 2567 ขอให้ดำเนินการตรวจพิกัดตำแหน่งหมุดที่ดินตามแผนที่ และการรถไฟแห่งประเทศไทยมีหนังสือ ที่ รฟ.1/3221/2567 ลงวันที่ 25 ธันวาคม 2567 ยืนยันรายการปรับปรุงข้อมูลค่าพิกัดตำแหน่งหมุดที่ดินบริเวณทางแยกเขากระโดง จังหวัดบุรีรัมย์ (ตามสิ่งที่ส่งมาด้วย 15-16)
ถือเป็นการขัดแย้งของข้อมูล กับผลการพิจารณาของคณะกรรมการสอบสวนฯ อันเป็นการยืนยันถึงพฤติการณ์ และมีเจตนาที่จะปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และมีหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมาย หรือคำสั่งตามคำพิพากษาของศาล ซึ่งได้สั่งเพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย แต่ดำเนินการโดยมีเจตนา ป้องกัน หรือขัดขวางมิให้มีการดำเนินการเป็นไปตามกฎหมาย หรือคำสั่งตามคำพิพากษาของศาลแต่อย่างใด เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย
ซึ่งคณะกรรมการสอบสวนฯ มีอำนาจหน้าที่เรียกเอกสารสิทธิในที่ดิน ที่ออกโดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย มาพิจารณาเพิกถอนพร้อมทั้งแจ้งให้ผู้มีส่วนได้เสียทราบเพื่อให้โอกาสคัดค้าน เมื่อดำเนินการพิจารณาแล้วเสร็จ และส่งให้อธิบดีหรือผู้ที่อธิบดีมอบหมายพิจารณาดำเนินการไปตามนั้น แต่มีพฤติการณ์ไม่ดำเนินการตามหน้าที่ และขั้นตอนระเบียบ คำสั่งดังกล่าว ซึ่งผู้ถูกร้องทุกข์หรือกล่าวโทษ ที่ 1 ถึงที่ 12 ทั้งหมด ทราบดีอยู่แล้วว่า ที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย แต่ไม่ดำเนินการพิจารณาเพิกถอนเอกสารสิทธิบริเวณที่ดินรถไฟเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ที่ออกโดยคลาดเคลื่อน หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายที่ดินแต่อย่างใด
ทั้งที่ปรากฏในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย รวมทั้ง คำพิพากษาของศาล ที่ได้ถึงที่สุดแล้ว โดยผู้ถูกร้องทุกข์หรือกล่าวโทษ ที่ 1 ถึงที่ 12 มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 และ คำพิพากษาของศาลดังกล่าว เพื่อทำหน้าที่ปกป้องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินและรักษาไว้ซึ่งประโยชน์ของรัฐ (การรถไฟแห่งประเทศไทย ) แต่ไม่ดำเนินการโดยไม่มีเหตุอันสมควร
ด้วยเหตุและผลดังกล่าวข้างต้น ข้าพเจ้าจึงมีความประสงค์จะขอร้องทุกข์หรือกล่าวโทษ อธิบดีกรมที่ดิน (ผู้ถูกร้องทุกข์หรือกล่าวโทษที่ 1) ซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ มีหน้าที่ดำเนินการตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ตามมาตรา 8 “บรรดาที่ดินทั้งหลายอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินนั้น ถ้าไม่มีกฎหมายกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น ให้อธิบดีมีอํานาจหน้าที่ดูแลรักษาและดําเนินการคุ้มครองป้องกัน.....” แต่ไม่ดำเนินการตามหน้าที่ กับคณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน (ผู้ถูกร้องทุกข์หรือกล่าวโทษ ที่ 2 ถึง 12 )
ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมาย หรือ คำสั่งตามคำพิพากษาของศาล ซึ่งได้สั่งเพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย ป้องกัน หรือขัดขวางมิให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายหรือคำสั่งนั้น โดยไม่ดำเนินการพิจารณาเพิกถอนเอกสารสิทธิบริเวณที่ดินรถไฟเขากระโดง อ.เมืองบุรีรัมย์ จ.บุรีรัมย์ ที่ออกโดยคลาดเคลื่อน หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรา 165 อันเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และกระบวนการยุติธรรม
ซึ่งมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 เป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติ หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และมาตรา 165 เป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมาย หรือ คำสั่งตามคำพิพากษาของศาล ซึ่งได้สั่งเพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย ป้องกัน หรือขัดขวางมิให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายหรือคำสั่งนั้น โดยทุจริตที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่การรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจที่เป็นหน่วยงานของรัฐ ที่ข้าพเจ้าในฐานะพนักงานการรถไฟแห่งประเทศไทย และตัวแทนสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย ที่เป็นนิติบุคคลมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
จึงมาร้องทุกข์หรือกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน เพื่อสอบสวนดำเนินคดีตามกฏหมาย จนถึงที่สุด ขอท่านได้โปรดดำเนินการสอบสวน และดำเนินคดี กับผู้ถูกร้องทุกข์หรือกล่าวโทษทั้งหมด ตามกฎหมาย ต่อไป