5 ป.ป.ช. ใครเป็นใคร ‘ขั้วอำนาจใหม่’ วัดฝีมือปราบคอร์รัปชันไทย

ทั้งหมดคือ “ขั้วอำนาจใหม่” ในองค์กรสนามบินน้ำ ที่จะกำหนดทิศทางป้องกันและปราบปรามการคอร์รัปชันในสังคมไทยไปอีกอย่างน้อยหลายปีนับจากนี้
กลายเป็นข่าวเงียบ ๆ ที่สร้างเซอร์ไพรส์ให้แวดวงการเมือง เมื่อ 6 ก.พ.ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ลงคะแนนลับ มีมติข้างมาก 5 เสียง เลือก “สุชาติ ตระกูลเกษมสุข” กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานกรรมการ ป.ป.ช. คนใหม่ ส่วน “เอกวิทย์ วัชชวัลคุ” แคนดิเดตอีกรายได้ 2 เสียง
โดยขั้นตอนต่อจากนี้ จะเสนอชื่อให้ประธานวุฒิสภา นำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงโปรดเกล้าฯแต่งตั้งต่อไป โดยระหว่างรอโปรดเกล้าฯให้ “วิทยา อาคมพิทักษ์” กรรมการ ป.ป.ช. ทำหน้าที่ประธานกรรมการ ป.ป.ช.ไปพลางก่อน
สำหรับสำนักงาน ป.ป.ช.ปัจจุบัน เพิ่งผลัดใบเปลี่ยนผ่านจากยุค “รัฐตำรวจ” เมื่อครั้ง “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ เป็นประธานกรรมการ ป.ป.ช. รวมถึงกรรมการ ป.ป.ช.อีกหลายคนที่มีที่มาจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) หลังรัฐประหารปี 2557 เกษียณอายุราชการไปแล้ว มาสู่ยุค “นักเลือกตั้ง” เนื่องจากการสรรหากรรมการ ป.ป.ช.ในปัจจุบันต้องผ่านความเห็นชอบจาก “วุฒิสภา” จากการเลือกแบบไขว้เมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา
ปัจจุบันมีกรรมการ ป.ป.ช. 7 คน มีที่มา 3 ยุคด้วยกัน ได้แก่
1.ยุคปลายของ 250 สว. (แต่งตั้งโดย คสช.ก่อนการเลือกตั้งปี 2562) จำนวน 5 คน ได้แก่ สุชาติ ตระกูลเกษมสุข เอกวิทย์ วัชชวัลคุ แมนรันต์ รัตนสุคนธ์ และ ภัทรศักดิ์ วรรณแสง ส่วนรายสุดท้าย พศวัจณ์ กนกนาถ (ได้รับความเห็นชอบตั้งแต่ 7 ส.ค. 2566 แต่ปัจจุบันยังมิได้รับโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่ง จึงมิได้เข้าร่วมประชุมใด ๆ)
2.ยุค 200 สว.เลือกตั้งแบบไขว้ ที่ถูกหลายคนวิพากษ์วิจารณ์กันว่าเป็น ‘สภาฯสีน้ำเงิน’ 1 คน ได้แก่ ประภาส คงเอียด
3.เกษียณอายุราชการแล้ว แต่อยู่รักษาการรอกรรมการคนใหม่ 2 คน ได้แก่ วิทยา อาคมพิทักษ์ (พ้นตำแหน่งทางการ หลังโปรดเกล้าฯประธานกรรมการ ป.ป.ช.คนใหม่) และสุวณา สุวรรณจูฑะ (พ้นตำแหน่งทางการ หลังมีกรรมการใหม่ครบ 7 คน)
เท่ากับว่า ปัจจุบันมีกรรมการ ป.ป.ช.ทั้งสิ้น 6 คน (ไม่นับวิทยา อาคมพิทักษ์) ซึ่งได้รับการโปรดเกล้าฯแล้ว 5 คน คือ สุชาติ ตระกูลเกษมสุข เอกวิทย์ วัชชวัลคุ แมนรันต์ รัตนสุคนธ์ ภัทรศักดิ์ วรรณแสง และประภาส คงเอียด
ในบรรดา 5 คนข้างต้น พื้นเพที่มาแต่ละคนแตกต่างกัน เริ่มจาก “สุชาติ ตระกูลเกษมสุข” อายุ 62 ปี เป็นอดีตผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดสุโขทัย แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว รองอธิบดีผู้พิพากษาแรงงานกลาง ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ คดีชำนัญพิเศษ โดยตำแหน่งสุดท้ายคืออธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งมีนบุรี
ในช่วงเข้ารับการสรรหาจากคณะกรรมการสรรหา “ชวน หลีกภัย” เมื่อครั้งเป็นประธานรัฐสภา ซึ่งเป็นกรรมการสรรหาโดยตำแหน่ง เคยถามเขาหลายคำถามน่าสนใจว่า “แปลกใจทำไมไม่คิดเอาดีเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ทำไมถึงตัดสินใจมาเป็น ป.ป.ช.ครับ” หรือคำถาม “เข้าไปเป็น สนช.ได้อย่างไรครับ”
รวมถึงคุณสมบัติของ “สุชาติ” ที่เคยเป็น สนช.มาก่อน กังวลว่าจะถูกตีความว่ามีลักษณะต้องห้ามหรือไม่ โดย “สุชาติ” ตอบแค่ว่า “ผมก็เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน ในเรื่องการตีความ” หลังจากนั้นที่ประชุมได้หารือกันในประเด็นเมื่อครั้ง “สุชาติ” เป็น สนช.เคยมีข้อถกเถียงต้องหารือคุณสมบัติ ในการเห็นชอบบางคนเป็น กสทช.ด้วย
ถึงที่สุด “สุชาติ” ผ่านพ้นคณะกรรมการสรรหามาได้ ด้วยการโหวตกันถึง 3 รอบ จนสุดท้ายเขาเบียดชนะ “ปรเมษฐ์ โตวิวัฒน์” อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 มาได้ ด้วยคะแนน 7 ต่อ 1 ซึ่ง 1 เสียงดังกล่าวคือ “ชวน หลีกภัย”
ทั้งนี้ “สุชาติ” เคยให้สัมภาษณ์ถึงเหตุผลในการสมัครเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ตอนหนึ่งว่า “ผมก็พอจะรู้ได้ว่าเรื่องไหน ถ้าส่งสำนวนของ ป.ป.ช.ไปแล้ว ศาลจะเห็นไปทางไหน ก็สามารถนำมาช่วยงาน ป.ป.ช.ได้”
เมื่อ “สุชาติ” เข้ามาเป็นกรรมการ ป.ป.ช. เขาเริ่มมีบทบาทอย่างมากในการ “ปรับปรุง-ฟื้นฟู” สำนักงาน ป.ป.ช.ใหม่อีกครั้ง หลังอยู่ภายใต้อิทธิพล “รัฐตำรวจ” มานานกว่า 9 ปี จนกระทั่งมีเอกสารหลุดว่อนว่า “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. ยื่นโนติสคัดค้านการทำหน้าที่ โดยอ้างว่า มีกรรมการ ป.ป.ช.บางคน อาจมีสายสัมพันธ์กับเครือข่าย “บิ๊กเนมการเมือง” สาย “บ้านป่า” อย่างไรก็ดีเรื่องนี้ก็เงียบหายไป จนกระทั่งเขาได้รับเลือกเป็นประธานกรรมการ ป.ป.ช.ในปัจจุบัน
ในบรรดาอดีตผู้พิพากษา มีอีก 2 คน ที่มีบทบาทในองค์กรตุลาการสำคัญไม่หยิ่งหย่อนไปกว่ากัน คนแรก “เอกวิทย์ วัชชวัชคุ” อายุ 65 ปี เคยเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลฎีกา และ “ภัทรศักดิ์ วรรณแสง” อายุ 67 ปี อดีตเลขาธิการศาลฎีกา อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง และอดีตเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม
ในบรรดา 3 ผู้พิพากษาข้างต้น (สุชาติ เอกวิทย์ ภัทรศักดิ์) เห็นได้ว่า “ภัทรศักดิ์” มีอาวุโสสูงสุด
ว่ากันว่า ในการโหวตเลือกประธานกรรมการ ป.ป.ช.ครั้งดังกล่าว อาจมีการนับหลักอาวุโสในการดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช.มากกว่า
โดย “สุชาติ” เข้ามาเป็นกรรมการ ป.ป.ช.คนแรกใน “ยุคผลัดใบ” ทำงานมาแล้ว 4 ปี ดังนั้นคนที่เหลือจึง “ให้เกียรติ” โดย “สุชาติ” ยังเป็นประธานกรรมการ ป.ป.ช.ได้อีกอย่างน้อย 5 ปีก่อนเกษียณอายุราชการ และเปิดให้โหวตเลือกประธานคนใหม่
ส่วนกรรมการ ป.ป.ช.อีก 2 คนที่เหลือ ได้แก่ “แมนรัตน์ รัตนสุคนธ์” อายุ 62 ปี ลูกหม้อ “กระทรวงคลองหลอด” ตำแหน่งสุดท้ายคืออธิบดีกรมการปกครอง ในยุครอยต่อ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา และ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล และมีความสนิทแนบแน่บกับ “สุทธิพงษ์ จุลเจริญ” อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย
“แมนรัตน์” เติบโตทางราชการเป็นอย่างมากในช่วง “บิ๊กป๊อก” นั่งเก้าอี้ มท.1 ถือเป็นกรรมการ ป.ป.ช. “สายปกครอง” ที่ผ่านมามีกรรมการ ป.ป.ช.สายนี้มาแล้ว เช่น ประสาท พงษ์ศิวาภัย (2549-2558) เป็นต้น
อีกราย “ประภาส คงเอียด” อายุ 63 ปี คือตัวแทนตรวจสอบด้าน “เศรษฐกิจ-การคลัง” ของ ป.ป.ช. เคยเป็นอดีตอธิบดีกรมบัญชีกลาง อดีตอธิบดีกรมธนารักษ์ และอดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง ซึ่งที่ผ่านมาเคยมีกรรมการ ป.ป.ช.สายนี้มาแล้วเหมือนกัน เช่น สุภา ปิยะจิตติ (2557-2566) เป็นต้น
ที่น่าสนใจเหลืออยู่ 1 รายคือ "พศวัจณ์ กนกนาถ" อดีตผู้พิพากษา ที่เคยมีตำแหน่งสูงสุดถึงรองประธานศาลฎีกา ได้รับความเห็นชอบจากยุค 250 สว.ตั้งแต่ 7 ส.ค. 2566 แต่ปัจจุบันยังมิได้รับโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่ง จึงถูกซุบซิบว่าด้วยสาเหตุใด “มีอะไรในกอไผ่” หรือไม่ เพราะ “พศวัจณ์” ได้รับความเห็นชอบก่อน “เอกวิทย์-ภัทรศักดิ์-ประภาส” แต่ 3 คนหลังได้รับการโปรดเกล้าฯปฏิบัติหน้าที่แล้ว
ดังนั้นในบรรดา 5 คนที่ปฏิบัติหน้าที่ มาจากการโหวตของ 250 สว.จึงถูกมองว่าเป็น “ตัวแทนขั้วอำนาจเก่า” 4 คน คือ สุชาติ ภัทรศักดิ์ เอกวิทย์ และแมนรัตน์
ส่วนรายที่มาจากการโหวตของ สว.สีน้ำเงิน 1 คน คือ ประภาส คงเอียด แต่ “สภาฯสูง” ยังมีโอกาสโหวตเห็นชอบบุคคลให้ดำรงตำแหน่ง สว.ได้อีกอย่างน้อย 3 คน (หากเกิดกรณี พศวัจณ์ ลาออกก่อนได้รับโปรดเกล้าฯ จะโหวตได้ 4 คน)
อย่างไรก็ดี ตามธรรมเนียมของกรรมการ ป.ป.ช.ที่ผ่านมา มักจะมี “ตำรวจ” ในองค์ประชุมอย่างน้อย 1 คน เช่น พล.ต.อ.วุฑฒิชัย ศรีรัตนวุฑฒิ (2547-2548) พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง (2555-2564) พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ (2558-2567) เป็นต้น
เท่ากับว่าหากมีการโหวตเลือกกรรมการ ป.ป.ช.อีก 3 คนที่เหลือ จะมาจาก 250 สว. 4 คน และ “สภาฯสูงสีน้ำเงิน” 4 คน (รวมประภาส คงเอียด) เหลือแค่เคสของ “พศวัจณ์” เพียง 1 ตำแหน่งว่าจะเป็นอย่างไรต่อ
ทั้งหมดคือ “ขั้วอำนาจใหม่” ในองค์กรสนามบินน้ำ ที่จะกำหนดทิศทางป้องกันและปราบปรามการคอร์รัปชันในสังคมไทยไปอีกอย่างน้อยหลายปีนับจากนี้