เดินหน้าต่อ 'พริษฐ์' โยนภาระ 'นายกฯ' ต้องจี้ สส.รัฐบาลมาถกแก้ รธน.

'พริษฐ์' อธิบายละเอียด จุดยืน ปชน.แก้ รธน.ใหม่ ค้านส่งศาล รธน.ตีความ ยันควรเดินหน้าต่อ ชี้ปัญหาอยู่ที่ 'ภาวะผู้นำ' ของนายกฯ ต้องจี้ สส.รัฐบาล มาร่วมประชุม
เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2568 เวลา 17.50 น. นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคประชาชน (ปชน.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เคลื่อนไหวภายหลังการประชุมร่วมรัฐสภา ระหว่าง สส. และ สว. ในการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เปิดทางให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ล่ม ระบุว่า ทางออกในการแก้ปัญหาความเห็นต่างระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ได้อยู่ที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” แต่อยู่ที่ “ภาวะความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรี” โดยวันนี้ที่ประชุมรัฐสภามี 2 เหตุการณ์สำคัญที่สมาชิกรัฐสภาตัดสินใจลงมติหรือดำเนินการแตกต่างกัน
หนึ่ง การตัดสินใจว่ารัฐสภาควรส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพื่อวินิจฉัยว่ารัฐสภามีอำนาจหรือไม่ในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ (ของพรรคประชาชน และของพรรคเพื่อไทย) ที่จะเปิดทางไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งพรรคประชาชนเราไม่เห็นด้วยกับการยื่นเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญด้วย 3 เหตุผลหลัก ได้แก่
1. เราเห็นว่าการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ สอดคล้องกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 4/2564 อยู่แล้ว เพราะหากรัฐสภาเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว ก็ไม่ได้นำไปสู่การมี สสร. มาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทันที แต่จะต้องมีการทำประชามติ 1 ครั้ง ก่อน (เพื่อถามประชาชนว่าเห็นชอบกับการให้มี สสร. มาจัดทำ รธน. ฉบับใหม่ตามที่รัฐสภาเห็นชอบหรือไม่) และอีก 1 ครั้ง หลัง (เพื่อถามประชาชนว่าเห็นชอบกับร่าง รธน. ฉบับใหม่ ที่ สสร. จัดทำหรือไม่) รวมกันเป็น 2 ครั้ง อยู่แล้ว
2. เราตั้งคำถามว่าการส่งเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญหรือการ “เดินอ้อม” แบบนี้ จะ “ไปถึงเป้าหมาย” หรือได้รับคำตอบที่แตกต่างจากเดิมหรือไม่-อย่างไร เนื่องจากรัฐสภาเคยยื่นเรื่องในลักษณะคล้ายกันไปที่ศาลรัฐธรรมนูญมาแล้วถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกในปี 2564 ซึ่งนำมาสู่คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 4/2564 ครั้งที่สองในปี 2567 ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญไม่รับเรื่องไว้พิจารณา โดยให้เหตุผลว่าได้วินิจฉัยไปชัดเจนแล้วในปี 2564
3. เราตั้งคำถามว่าแทนที่จะใช้วิธีการส่งไปศาลรัฐธรรมนูญ ทางนายกรัฐมนตรีที่สังกัดพรรคเพื่อไทย (ซึ่งเป็นพรรคที่เคยแสดงจุดยืนว่าการทำประชามติ 2 ครั้งสอดคล้องกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และได้เสนอร่างเข้ามาในรอบนี้ด้วย) ได้พยายามเต็มที่แล้วหรือยัง ในการพูดคุยเพื่อบริหารและคลายข้อกังวลของพรรคร่วมรัฐบาล เพราะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยยังให้สัมภาษณ์เมื่อวานอยู่เลยว่า “ยังไม่ได้พูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาล.. และไม่มีการหารือในพรรคร่วมรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี”
"ในความจริง วันนี้ผมได้รวบรวมข้อมูลที่ผมเคยใช้ในการนำเสนอต่อคณะกรรมการประธานรัฐสภา (เช่น คำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ) จนนำไปสู่การที่ประธานรัฐสภาตัดสินใจบรรจุร่างดังกล่าวเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุม เพื่อมาเตรียมนำเสนอต่อที่ประชุมรัฐสภาและพยายามคลายข้อกังวลของสมาชิกรัฐสภา แต่ผมไม่ได้มีโอกาสอภิปรายเหตุผลดังกล่าวเนื่องจากที่ประชุมได้ปิดลงไปก่อน" นายพริษฐ์ ระบุ
สอง การตัดสินใจว่าในเมื่อยังไม่มีการส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ รัฐสภาควรเดินหน้าประชุมต่อเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับ (ของพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทย) หรือไม่ พรรคประชาชนเราเห็นด้วยกับการเดินหน้าต่อ และไม่เห็นด้วยกับความพยายามในการตัดจบการประชุมโดยการวอล์คเอาท์หรือการไม่แสดงตนเพราะ 2 เหตุผลหลัก ได้แก่
1. การเดินหน้าพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไป จะเป็นการเปิดพื้นที่ให้สมาชิกรัฐสภาได้อภิปรายกันเต็มที่ ซึ่งเราเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาใน 2 ด้าน คือ เป็นประโยชน์ในการอธิบายกับสังคมถึงหลักการและเหตุผลว่าทำไมเราจำเป็นต้องมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทำไมเรามองว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีปัญหา และคุณภาพชีวิตประชาชนจะดีขึ้นอย่างไรหากมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งล้วนเป็นคำถามที่ประชาชนจำนวนไม่น้อยต้องการฟังคำตอบ / หากเรามีคำตอบที่ชัดเจนให้กับสังคมได้ ผมเชื่อว่าการสนับสนุนจากสังคมนอกสภาฯ จะเพิ่มขึ้น และจะส่งผลต่อการโน้มน้าวสมาชิกในรัฐสภา นอกจากนี้ยังต้องเป็นประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนความเห็นโดยละเอียด เพื่อร่วมกันอธิบายและคลายข้อกังวลเชิงกฎหมายที่บางฝ่ายอาจมีเกี่ยวกับคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
2. การเดินหน้าพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไป ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีการลงมติทันทีทันใด - หากสมาชิกรัฐสภาอภิปรายแลกเปลี่ยนความเห็นกันครบถ้วนแล้ว แต่ยังมีบางฝ่ายที่ยังคงมีความกังวลในการลงมติ รัฐสภาก็สามารถหาทางออกที่เหมาะสมร่วมกันได้ในขั้นตอนดังกล่าว ก่อนที่จะมีการลงมติ
นายพริษฐ์ ระบุอีกว่า ถอยมามองภาพรวม ปัญหาความเห็นต่างระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล จะแก้ได้โดยใคร? แต่หากถอยมามองภาพรวม เหตุการณ์ในรัฐสภาวันนี้ตอกย้ำชัดเจนแล้ว ว่าแม้การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะเป็นนโยบายที่รัฐบาลได้แถลงต่อรัฐสภา แต่สมาชิกรัฐสภาฝั่งรัฐบาลกลับมีความเห็นที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นความเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับข้อกฎหมาย (ในเบื้องหน้า) หรือความเห็นที่อาจแตกต่างกันเกี่ยวกับจุดยืนหรือเจตจำนงทางการเมือง (ในเบื้องลึก)
เห็นว่า หากต้องการแก้ไขปัญหาความเห็นที่แตกต่างระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อผลักดันนโยบายของรัฐบาลให้สำเร็จ (ไม่ว่าจะนโยบายเรื่องรัฐธรรมนูญ หรือนโยบายด้านอื่นๆ) คำตอบไม่ได้อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่อยู่ที่ภาวะความเป็นผู้นำของนายกรัฐมนตรี ย้ำอีกรอบว่านายกรัฐมนตรีจะอ้างว่าเรื่องรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของสภาฯ หรือเรื่องของพรรคการเมือง ไม่ได้เพราะ
1. ในเชิงหลักการ ประเทศเราไม่ได้อยู่ในระบบประธานาธิบดีที่ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติแยกขาดจากกันและต่างมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน แต่ประเทศเราอยู่ในระบบรัฐสภา ที่นายกรัฐมนตรีหรือฝ่ายบริหาร มาจากการเลือกของสภาฯ อยู่ได้ด้วยความไว้วางใจจากสภาฯ และต้องรับผิดชอบต่องานในสภาฯของ สส. รัฐบาล โดยเฉพาะนโยบายของรัฐบาลที่แถลงต่อรัฐสภา
2. ในเชิงการผลักดันนโยบายให้ประสบความสำเร็จและได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา หากเราเชื่อว่าโจทย์เรื่องการโน้มน้าวสมาชิกวุฒิสภา เป็นโจทย์เดียวกันกับการโน้มน้าวพรรคร่วมรัฐบาล นายกรัฐมนตรีคือบุคคลที่จะต้องมี "บทบาท" และ “ความรับผิดชอบ” หลักในการบริหารและฝ่าฟันความเห็นต่างระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ในฐานะหัวหน้าของรัฐบาลผสม ณ เวลานี้
"อย่างน้อยที่สุด ผมหวังว่า ตั้งแต่วันนี้จนถึงพรุ่งนี้เช้า นายกรัฐมนตรีจะทำอย่างเต็มที่ในการกำชับให้สมาชิกรัฐสภาฝั่งรัฐบาลเข้าร่วมประชุมในวันพรุ่งนี้ เพื่อเดินหน้าใช้เวทีรัฐสภาในหาทางออกเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่" นายพริษฐ์ ระบุ