ภารกิจร้อน-ชนักปัก ‘สุชาติ’ วิบาก 'ประธานป.ป.ช.' ป้ายแดง

ทั้งหมดคือ “เผือกร้อน” ที่จะพิสูจน์การทำหน้าที่ของ “สุชาติ” ในวันที่ได้สวมหมวกประธานกรรมการ ป.ป.ช.คนใหม่ จะมีทิศทางดำเนินการไปอย่างไร ต้องติดตาม
KEY
POINTS
- ภารกิจ ‘เผือกร้อน’ ของ ‘สุชาติ ตระกูลเกษมสุข’ ประธาน ป.ป.ช.ป้ายแดง
- ลุยขับเคลื่อนแก้ปัญหาคอร์รัปชัน หลัง CPI ไทยได้ 34
เริ่มงานอย่างเป็นทางการ สำหรับ “สุชาติ ตระกูลเกษมสุข” หลังเข้าพิธีรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คนใหม่ เมื่อ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา หลังต้องเผชิญอุปสรรคขวากหนามหลายครั้ง นับตั้งแต่เข้ามาเป็นกรรมการ ป.ป.ช.เมื่อราว 4 ปีก่อน โดยเขาจะมีวาระการดำรงตำแหน่งไปอีกอย่างน้อยราว 5 ปี หรือถึงปี 2573
ก่อนหน้านี้เมื่อ 10 ก.ย. 2567 เคยมีการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อโหวตเลือก “ประธานกรรมการ ป.ป.ช.” มาแล้ว 1 หน โดยครั้งนั้นจบที่ “วิทยา อาคมพิทักษ์” กรรมการ ป.ป.ช.ยุคเก่าแก่ นั่งเก้าอี้ “ประธานชั่วคราว” จนกว่าจะได้กรรมการ ป.ป.ช.ใหม่ครบองค์ประชุม และโหวตเลือกประธานกันอีกครั้ง
กระทั่งล่าสุด 6 ก.พ.ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.อาศัยจังหวะ สำนักงาน ป.ป.ช.พา “สื่อมวลชน” ไปสัญจรดูงานต่างจังหวัด ลงมติเคาะเลือกประธานกรรมการ ป.ป.ช.คนใหม่ โดยมติจบลงที่ “สุชาติ” ได้ 5 เสียง ส่วน “เอกวิทย์ วัชชวัลคุ” กรรมการ ป.ป.ช. แคนดิเดตจากสายตุลาการอีก 1 คน ได้ไป 2 เสียง จากที่ประชุมทั้งหมด 7 เสียง
โดยจำนวนคณะกรรมการ ป.ป.ช.เท่าที่มีอยู่ในเวลานี้คือ 7+1 คน มาจากการให้ความเห็นชอบของ สนช.ภายหลังการรัฐประหารเมื่อปี 2557 จำนวน 2 คน ซึ่งหมดวาระแล้ว แต่ยังรักษาการจนกว่าจะได้กรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหม่ครบองค์ประชุม ได้แก่ วิทยา อาคมพิทักษ์ และสุวณา สุวรรณจูฑะ มา
จากการให้ความเห็นชอบของ 250 สว.ยุค คสช. จำนวน 4+1 คน ได้แก่ สุชาติ ตระกูลเกษมสุข เอกวิทย์ วัชชวัลคุ แมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ ภัทรศักดิ์ วรรณแสง และพศวัจณ์ กนกนาถ (ได้รับความเห็นชอบตั้งแต่ 7 ส.ค. 2566 แต่ปัจจุบันยังมิได้รับโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่ง จึงมิได้เข้าร่วมประชุมใด ๆ)
ส่วนคนสุดท้ายมาจากการให้ความเห็นชอบของ 200 สว.ชุดเลือกไขว้ ซึ่งถูกครหาว่าเป็น “สภาฯสีน้ำเงิน” ได้แก่ ประภาส คงเอียด อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง อดีตอธิบดีกรมบัญชีกลาง
ในเมื่อ “พศวัจณ์” ยังมิได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง ทำให้ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.เหลือ 7 ราย โดยมี 5 รายที่อยู่ในวาระคือ สุชาติ (ประธานกรรมการ ป.ป.ช.ป้ายแดง” เอกวิทย์ วัชชวัลคุ แมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ ภัทรศักดิ์ วรรณแสง และประภาส คงเอียด ส่วนอีก 2 รายอยู่รักษาการคือ วิทยา อาคมพิทักษ์ และสุวณา สุวรรณจูฑะ
ที่ผ่านมา “สุชาติ” เผชิญอุปสรรคขวากหนามตั้งแต่เข้ามาดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช.ใหม่ ไม่ว่าจะเป็นกรณีโครงการก่อสร้างอาคารศาลพระโขนง และศาลมีนบุรี ซึ่งถูกสื่อตีข่าวว่า ผู้พิพากษาผู้มีอำนาจไม่อนุมัติเซ็นจ่ายเงินให้แก่เอกชนผู้ว่าจ้าง
เนื่องจากเห็นว่ามีพนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งเข้าไปสำรวจพื้นที่ ก่อนจะมีการเปิดประกวดราคา และลงนามสัญญาจ้างอย่างเป็นทางการ ปัจจุบันมีการยื่นเรื่องต่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และให้ที่ประชุม ก.ต.ตรวจสอบ โดยในยุค “ไสลเกษ วัฒนพันธุ์” เป็นประธานศาลฎีกา ลงนามคำสั่งประธานศาลฎีกา ที่ 15/2563 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงไปแล้ว นอกจากนี้ยังมีการยื่นเรื่องมาถึงสำนักงาน ป.ป.ช.ไต่สวน
ว่ากันว่า กันในช่วงปี 2564 ที่มีการสอบสวนคดีก่อสร้างศาลพระโขนง และศาลมีนบุรี ดังกล่าวนั้น มี “คนขับรถ” ประจำตัว”กรรมการ ป.ป.ช.” รายหนึ่ง “สะกดรอยตาม” รองประธานแผนกคดียาเสพติดในศาลอุทธรณ์ และเป็นหนึ่งใน ก.ต. (ขณะนั้น) ซึ่งมีอำนาจหน้าที่พิจารณาเรื่องดังกล่าว จนต้องเคลียร์กันยกใหญ่ แต่บทสรุปบรรทัดสุดท้ายคดีนี้ เมื่อปี 2565 หวยไปออกที่ เลขาธิการศาลยุติธรรม (ขณะนั้น) รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว โดย ก.ต.มีมติ “ไล่ออกจากราชการ” ไป ส่วนการไต่สวนในชั้น ป.ป.ช.ปัจจุบัน ยังคงไม่มีความคืบหน้า
ถัดมาเมื่อจบเรื่องวุ่นวายดังกล่าวแล้ว ในปี 2567 “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. ทำหนังสือคัดค้านการทำหน้าที่ของกรรมการ ป.ป.ช.รายหนึ่ง ซึ่งสุดท้ายมีการเปิดเผยผ่านสื่อสาธารณะว่ากรรมการ ป.ป.ช.คนดังกล่าวคือ “สุชาติ” โดยกล่าวอ้างว่า อาจมีสายสัมพันธ์กับ “บิ๊กนักการเมือง” ในสาย “บ้านป่า” พึ่งใบบุญ จนได้รับการสรรหาเป็นกรรมการ ป.ป.ช. อย่างไรก็ดี “สุชาติ” ได้ออกมาปฏิเสธถึงเรื่องนี้
แต่ “บิ๊กโจ๊ก” ยังคงเล่นใหญ่ ล่ารายชื่อประชาชนได้กว่า 20,000 ชื่อครบตามเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญ ไปยื่นประธานรัฐสภาเพื่อขอให้ส่งเรื่องไปยังประธานศาลฎีกาเพื่อตั้งคณะผู้ไต่สวนอิสระ เพื่อไต่สวนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยกล่าวหาว่า “สุชาติ” มีพฤติการณ์ ร่ำรวยผิดปกติ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และละเมิดมาตรฐานจริยธรรม ต่อมา “ประธานรัฐสภา” แต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง จนมีบทสรุปออกมาเมื่อปลายปี 2567 ว่า ข้อกล่าวหาทั้งหมดที่ “บิ๊กโจ๊ก” ยื่นคำร้องนั้น ไม่มีมูล จึงมีคำสั่งให้ยุติเรื่อง
กระทั่งในช่วงการเคาะเลือกประธานกรรมการ ป.ป.ช.คนใหม่ ซึ่งปรากฏชื่อ “สุชาติ” เป็นผู้ชนะ ทำให้มี “มือมืด” ปล่อยคลิปฉาว อ้างว่า “ประธานรัฐสภา” พบปะกับ “สุชาติ” และ “บิ๊กโจ๊ก” โดยไทม์ไลน์ในคลิปอ้างว่าเกิดขึ้นเมื่อปลายปี 2567 โดยหนึ่งในข้อหารือวันดังกล่าวคือขอให้ถอดถอนคำร้องกล่าวหา “สุชาติ” ของ “บิ๊กโจ๊ก”
อย่างไรก็ดี ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นขณะนี้ แบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายคือ “วันนอร์” ให้สัมภาษณ์ยืนกรานว่า เคยพบกัน 3 คนจริง แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปตามคลิป โดยอ้างว่าเป็นการขอเข้าอวยพรปีใหม่ของ “บิ๊กโจ๊ก” ในฐานะนายกสมาคมปักษ์ใต้ โดยพา “สุชาติ” มาด้วยเท่านั้น พร้อมซัดกลับไปยังคนปล่อยคลิปว่า “เสียมารยาท”
สวนทางกับ “บิ๊กโจ๊ก” ที่อ้างว่า มิได้ไปพบ “วันนอร์” พร้อมกับ “สุชาติ” ตามคลิปเหตุการณ์ดังกล่าวแต่อย่างใด และไม่รู้ว่าใครเป็นคนอัดคลิป พร้อมยืนยันเตรียมยื่นถอดถอน “สุชาติ” รอบ 2 พร้อมกับขู่ “วันนอร์” ว่าหากขัดขวางอาจเจอร้องว่าปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 อีกด้วย
ทั้ง 3 เรื่องที่เกิดขึ้น “สุชาติ” ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด และไม่มีพยานหลักฐานยืนยันข้อเท็จจริงการกระทำของ “สุชาติ” ในทุกเรื่องข้างต้นแต่อย่างใด เพราะฉะนั้น “ประธาน ป.ป.ช.ป้ายแดง” รายนี้ จึงยังมิได้มีการถูกตั้งข้อกล่าวหาใด ๆ
กลับมาที่ภารกิจของ ป.ป.ช. ภายใต้ยุค “สุชาติ” นั่งประธานฯคนใหม่ ในช่วงเวลาที่องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International หรือ TI) ได้ประกาศคะแนนดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index: CPI) ประจำปี 2024 (พ.ศ. 2567) โดยพบว่า ไทยได้ 34 คะแนน ต่ำสุดในรอบ 12 ปี (นับตั้งแต่ปี 2555) โดยปัญหาสำคัญคือความไม่โปร่งใสในการใช้งบของภาครัฐ นักลงทุนเสี่ยงถูกเรียกรับสินบนเพื่อประกอบธุรกิจ รัฐบาลให้ความสำคัญปราบโกงไม่พอ และบางนโยบายของรัฐบาลส่อเอื้อทุนใหญ่
นี่ยังไม่นับคดีสำคัญต่าง ๆ ที่ยังอยู่ระหว่างการไต่สวนในชั้น ป.ป.ช. ไม่ว่าจะป็นคดี “สินบนข้ามชาติ” ยังเหลืออีกหลายคดีที่มีมูลค่าความเสียหายหลายพันล้านบาท เช่น “คดีปาล์มอินโดฯ” ที่มีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐวิสาหกิจระดับสูง เข้าไปพัวพันกับการซื้อที่ดินเพื่อปลูกปาล์มอินโดฯ โดยมิชอบ แพงเกินจริง รวมถึงมีส่วนต่างค่านายหน้ามูลค่าหลายร้อยล้านบาท ปัจจุบันคดีนี้มีการแจ้งข้อกล่าวหาเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องไปแล้ว อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน และเส้นทางการเงิน
หรือคดีทางการเมือง เช่น ปมร้อน “ชั้น 14” ที่กล่าวหาว่ามี 12 เจ้าหน้าที่รัฐ ส่อเอื้อประโยชน์ให้ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ นักโทษคดีทุจริตได้รับโทษจำคุก 1 ปี ไม่ต้องจำคุกในเรือนจำ แต่ถูกส่งไปพักรักษาตัวที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ จนพ้นโทษ โดยมีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง ทั้งอธิบดีกรมราชทัณฑ์ รองอธิบดีฯ นายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ เป็นต้น เรื่องนี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ และรวบรวมพยานหลักฐานข้อเท็จจริง
รายงานข่าวจาก ป.ป.ช.แจ้งว่า แม้พยานหลักฐานชิ้นสำคัญของคดีนี้ที่สังคมมองคือ “เวชระเบียน” ของ “ทักษิณ” ซึ่งขณะนี้ รพ.ตำรวจ ยังมิได้มอบให้กับ ป.ป.ช.มาไต่สวนก็ตาม แต่เชื่อว่าการกลับมาไทยของ “ทักษิณ” มีขบวนการวางแผนสมคบคิดกันมานานหลายเดือน ดังนั้นพยานหลักฐานต่าง ๆ อาจมีการคิดกันไว้อยู่แล้วว่า ผลจะต้องออกมาในรูปแบบใด เพราะฉะนั้นจุดชี้ขาดของคดีนี้ อาจมิใช่แค่พยานหลักฐานเชิงประจักษ์ แต่ต้องเป็น “คำบอกเล่า” ของพยานปากสำคัญ ที่ดำเนินการในเรื่องนี้มาประกอบเจือสมกับพยานหลักฐานเอกสารด้วย ทำให้ปัจจุบันการไต่สวนคดีนี้ยังคงไม่ค่อยคืบหน้ามากเท่าที่ควร แต่ ป.ป.ช.ยังคงพยายามควานหา และตรวจสอบเรื่องเหล่านี้ให้ครบถ้วน เท่าที่พยานหลักฐานจะเอื้ออำนวย
หรือแม้แต่เรื่อง 44 สส.ก้าวไกล ที่ร่วมกันลงชื่อยื่นแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ปัจจุบัน ป.ป.ช.ได้ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนแล้ว และกำลังจัดหมวดหมู่ว่า ใครทำหน้าที่อะไร และมีบทบาทอย่างไรในการลงชื่อ และเสนอแก้ไขมาตรา 112 ดังกล่าว โดยขั้นตอนหลังจากจัดหมวดหมู่แล้วเสร็จ จะมีการนำมาหารือและพิจารณากันอีกครั้ง เหมือนที่เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.เคยระบุว่า เรื่องนี้ไม่ได้มีคนผิดทุกคน ต้องไล่เรียงดูพฤติการณ์เป็นคน ๆ ไป
นอกจากนี้ยังมีคดี “สีกากี” ที่มีการกล่าวหานายพลตำรวจระดับยศ “พล.ต.อ.” เกี่ยวโยงกับเว็บพนันออนไลน์ ที่ ป.ป.ช.รับเรื่องไว้พิจารณาแล้ว ซึ่งในบรรดานายพลตำรวจเหล่านี้ ปรากฏชื่อ “บิ๊กต่อ” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล อดีต ผบ.ตร. และ “บิ๊กโจ๊ก” ที่มีประเด็นจาก “คลิปฉาว” ข้างต้น ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีดังกล่าวด้วย
ทั้งหมดคือ “เผือกร้อน” ที่จะพิสูจน์การทำหน้าที่ของ “สุชาติ” ในวันที่ได้สวมหมวกประธานกรรมการ ป.ป.ช.คนใหม่ จะมีทิศทางดำเนินการไปอย่างไร ต้องติดตาม