ถอดบทเรียน เลือกตั้ง อบจ.68 สะท้อนอะไร

ถอดบทเรียน เลือกตั้ง อบจ.68 สะท้อนอะไร

ถอดบทเรียน เลือกตั้งอบจ.68 สะท้อนอะไร นักรัฐศาสตร์ วิพากษ์เลือกตั้งท้องถิ่นไทย เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ แต่การบริหารงานเหลว เหตุอำนาจสั่งการยังรวมศูนย์ที่ขับเคลื่อนโดยมหาดไทย

ชมรมรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง จัดเสวนาเชิงวิชาการ หัวข้อ “เลือกตั้ง อบจ.68 สะท้อนอะไร? โดยมีวิทยากรร่วมเสวนา ประกอบด้วย นายนิพนธ์ บุญญามณี อดีตรมช.มหาดไทย รศ.ดร.รงค์ บุญสวยขวัญ อดีต สส.นครศรีธรรมราช นายศักดา นพสิทธิ์ อดีตโฆษกพรรรคเพื่อไทย และนายเฉลียว คงตุก สื่อมวลชนอาวุโส ดำเนินรายการโดย ผศ.ดร.เพิ่มศักดิ์ จะเรียมพันธ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยมีคณาจารย์ นักศึกษา และผู้สนใจทั่วไปเข้าร่วมกิจกรรม เมื่อวันที่ 20 ก.พ.68 ที่ห้อง SB 0301 อาคารศรีศรัทธา มหาวิทยาลัยรามคำแหง
 
นายนิพนธ์ บุญญามณี กล่าวว่า วันนี้การจะทำให้ประเทศเข้มแข็ง จะต้องทำให้ท้องถิ่นเข้มแข็ง ซึ่งการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรม เริ่มในยุคพล.อ.เปรม ติณนสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี หลังมีการเรียกร้องให้มีการกระจายอำนาจและในปี 2528 มีการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นครั้งแรกในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ถือเป็นการกระจายอำนาจแรก ในขณะตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือ อบจ.นั้นเป็นตำแหน่งของผู้ว่าราชการจังหวัด 

“ตอนนั้นผู้ว่าฯ สวมหมวกสองใบ คือเป็นทั้งผู้ว่าราชการจังหวัด และนายกอบจ.หมวกหนึ่งเป็นตัวแทนราชการส่วนกลาง อีกหมวกเป็นส่วนท้องถิ่น นายอำเภอก็เป็นนายกสุขาภิบาล ต่อมารัฐธรรมนูญปี 40 เริ่มเห็นบทบาทการกระจายอำนาจอย่างจริงจัง โดยเขียนไว้ว่า ให้ผู้บริหารท้องถิ่นต้องมาจากการเลือกตั้ง เริ่มจากการนายก อบจ.ที่เลือกมาจาก สจ. นายกเทศบาลก็เหมือนกัน เลือกมาจาก สท. แล้วต่อมาก็มาเปลี่ยนเป็นการเลือกตั้งโดยตรง เริ่มเลือกตั้งครั้งแรกปี 44 จนถึงวันนี้ ทำให้เลือกตั้งท้องถิ่นเข้มข้นมากขึ้น”

ถอดบทเรียน เลือกตั้ง อบจ.68 สะท้อนอะไร
 

นายนิพนธ์ กล่าวต่อว่า แต่ก่อนการเลือกตั้งท้องถิ่น พรรคการเมืองไม่ค่อยเข้าไปยุ่งมาก เพราะมีทั้งข้อดี และข้อเสีย ซึ่งข้อดีผู้สมัครนายก อบจ. หรือองค์กรปกครองท้องถิ่นอื่นในนามพรรคการเมือง ก็จะมีคนรับผิดชอบ อย่างน้อยในการช่วยคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมลงสมัคร หรือหากบริหารงานเกิดความผิดพลาด พรรคการเมืองก็ต้งอรับผิดชอบ  แต่หากสมัครนามอิสระ ไม่มีใครกรองให้ประชาชน เมื่อเกิดการบริหารราชการความผิดพลาดเสียหายขึ้นมา ตัวเองผ่านพ้นไปใครจะรับผิดชอบ
  
“เมื่อผมมาอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์ ก็อยู่ในปีกกระจายอำนาจ มีกระแสไม่เห็นด้วยเหมือนกันในพรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้น แต่สรุปเราเห็นแนวทางนี้แล้วว่า การเลือกผู้บริหารท้องถิ่นโดยตรง เป็นสิ่งจำเป็น ผมเชื่อตรรกะนี้ว่า ถ้าท้องถิ่นเข้มแข้ง ประเทศไทยก็จะเข้มแข็ง” อดีต รมช.มหาดไทย กล่าว

ขณะที่ รศ.ดร.รงค์ บุญสวยขวัญ กล่าวว่า แม้ปัจจุบันการเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไทยจะเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ เพราะมีการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนในทุกระดับ ทั้งนายก อบจ. นายกเทศบาล นายก อบต. หากแต่การบริหารราขการแผ่นดินในท้องถิ่นท้องที่ ยังไม่มีความอิสระ ยังเป็นการบริหารราขการแบบรวมศูนย์  โดยนายกอบจ.ไม่มีโอกาสจัดทำโครงการฯ ทำโปรเจ็กต์ตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ต้องรอคำสั่งจากส่วนกลาง ที่สำคัญท้องถิ่นก็ไม่ได้ขับเคลื่อนงานตามนโยบายรัฐบาล แต่ขับเคลื่อนด้วยกระทรวงมหาดไทย ทำให้การบริหารงานท้องถิ่นผิดฝาผิดฝั่งไป

ถอดบทเรียน เลือกตั้ง อบจ.68 สะท้อนอะไร

“วันนี้ท้องถิ่นไม่ได้ขับเคลื่อนตามนโยบายรัฐบาล แต่ขับเคลื่อนด้วยมหาดไทย  พอเกิดปัญหา ท้องถิ่นทำอะไรได้ไม่เต็มที่ ไม่สามารถจัดการปัญหาสาธารณะได้ มังคุดราคาตก ชาวบ้านเคยพาไปเททิ้งหน้าอบจ.อบต.ไหม ก็ไปเททิ้งหน้าศาลากลาง มันสะท้อนถึงรัฐบาลรวมศูนย์ ท้องถิ่นยังทำอะไรไม่ได้ เมื่อทำอะไรไม่ได้ ก็ตอบคำถามที่ว่า ทำไมคนจึงไปเลือกตั้งอบจ.คราวนี้น้อยกว่าปกติ เพราะเลือกไปก็ไม่มีประโยชน์ เข้าไปก็ทำอะไรไม่ได้มาก” รศ.ดร.รงค์ ระบุ  

ด้านนายศักดา นพสิทธิ์ กล่าวว่า ในการเลือกตั้ง อบจ.68 ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าบริบทบางครั้งนโยบายของพรรคการเมือง มีอิทธิพลต่อการเลือกตั้งในระดับพื้นที่เหมือนกัน อย่างบางพรรคการเมืองไม่ได้รับความนิยมในพื้นที่ภาคใต้ ก็จะไม่ส่งผู้สมัครลงสมัครในนามพรรค หรืออาจมีทัศนคติที่ว่า เรื่องของท้องถิ่นพรรคการเมืองไม่ควรเข้าไปสนับสนุน ควรอยู่ในระดับชาติ นโยบายของประเทศเท่านั้น เพราะคำว่าท้องถิ่นหมายความว่า ให้คนในพื้นที่ ให้คนในท้องถิ่นบริหารจัดการ เลือกผู้นำของตัวเองขึ้นมาเป็นผู้บริหาร นั่นคือนิยามสมบูรณ์ดีที่สุดในแง่การปกครองการบริหารส่วนท้องถิ่น ส่วนท้องถิ่นนำเอานโยบายบางส่วนบางตอนของพรรคการเมืองใดไปใช้เป็น ก็แล้วแต่ผู้บริหารท้องถิ่นนั้น ที่เห็นว่ามีความเหมาะสมในสภาพพื้นที่ และบริบทของสังคม 
 
“กกต.ไม่ใช่มีแค่หน้าที่จัดการเลือกตั้งให้เสร็จเท่านั้น แต่หลักการจะต้องสะท้อนการลงคะแนนผ่านการเลือกตั้งด้วย เราจะได้รู้ว่าใครเป็นคนดีที่สุด เหมาะบริหารในท้องที่ ในท้องถิ่น ระดับชาติมากที่สุด ไม่เช่นนั้น คนที่มีการศึกษาดี มีคุณธรรม ไม่เคยมีประวัติทุจริตคดโกง ก็ไม่ได้เป็นตัวแทน บางทีคนที่เลวร้ายที่สุด ก็ยังได้รับการเลือก เพราะมีหลายบริบทที่รวมอยู่ในคุณสมบัติผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง” อดีตโฆษกพรรรคเพื่อไทยกล่าว

ด้านนายเฉลียว คงตุก กล่าวว่า การเลือกตั้งอบจ.คราวนี้มันสะท้อนอะไรบ้าง ที่อยากพูดถึงในวันนี้ก็คือ การกำหนดวันเลือกตั้งของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ซึ่งปกติจัดการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุดทุกองค์กร ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและบริษัทเอกชน ยกเว้นเกษตรกรที่ไม่มีวันหยุด แต่การจัดการเลือกตั้งครั้งนี้ เป็นวันเสาร์ ซึ่งบริษัท ห้างร้าน โรงงาน หรือบริษัทเอกชนยังเปิดทำงานกันตามปกติ ทำให้การเลือกตั้ง อบจ.ในหลายจังหวัดครั้งนี้ มีการลงคะแนนเลือกตั้งน้อยเป็นประวัติการณ์ 

“ผมคิดว่าน่าจะเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่เลือกตั้งวันเสาร์ เพราะทุกครั้งที่ผ่านมา จะมีการเลือกตั้งวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุดของประชาชน คนส่วนใหญ่จะสะดวกเดินทางไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ไม่ใช่วันทำงาน ผมเองให้ทีมงานไปถามเลขาฯกกต. ทำไมจัดการเลือกตั้งวันเสาร์ แล้วที่ประชุมสภาฯ เอง ก็ได้เชิญ กกต.ไปชี้แจง ซึ่งเลขาฯกกต.ชี้แจงว่า การที่จัดการเลือกตั้งวันเสาร์ เพราะถ้าขยับไปอีกวันเป็นวันอาทิตย์ที่ 2 ก.พ.เกรงว่าการเลือกตั้งจะไม่แล้วเสร็จ ตามกฎหมายที่กำหนดจัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จภายใน 45วัน  อันที่จริงกกต.น่าจะร่นลงมาสักอาทิตย์ก็ได้ ซึ่งก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า แต่ทาง กกต.เกรงว่าผู้สมัครจะมีเวลาหาเสียงน้อย พบปะประชาชนไม่ทั่วถึง ผมไม่เชื่อในตรรกะนี้” นายเฉลียว กล่าว