ศึกชิงคดี ‘ฮั้วเลือก สว.’ - ‘ดีเอสไอ-กกต.’ แบ่งคนละครึ่ง

ศึกชิงคดี ‘ฮั้วเลือก สว.’ - ‘ดีเอสไอ-กกต.’ แบ่งคนละครึ่ง

ความคืบหน้าคดีฮั้วการเลือก สว. ซึ่งผูกโยงกับอำนาจทางการเมืองของ “นายใหญ่สีแดง” และ “ครูใหญ่สีน้ำเงิน” ที่ต้องห้ำหั่นชิงธงนำทางการเมือง แม้จะมีดีลถกลับกันไปแล้ว

KEY

POINTS

  • ศึกชิงคดียุติ "ดีเอสไอ-กกต.”แบ่งกันสอบ"ฟอกเงิน-ทุจริต"
  • ล็อบบี้เป็นคดีพิเศษไม่ผ่าน  กกต.เปิดช่องดีเอสไอสอบอาญา

ปรากฎการณ์ตรวจสอบปม “ฮั้วเลือก สว.” กำลังได้รับการจับตาอย่างมากจากสาธารณชน ท่ามกลางความขัดแย้งของ 2 พรรคร่วมรัฐบาล “เพื่อไทย-ภูมิใจไทย” ในการเมือง 3 ก๊ก “แดง น้ำเงิน ส้ม” ตามกระแสข่าวล่าสุดที่ว่า 2 ผู้มากบารมีหลังฉาก ดอดพบหารือกันที่ “บ้านจันทร์ส่องหล้า” เมื่อไม่นานมานี้

สำหรับเงื่อนปมการ “ฮั้วเลือก สว.” ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ส่งหนังสือตอบข้อสงสัยประเด็นกฎหมาย 2 ข้อแก่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไปแล้ว โดยเฉพาะการยืนยันว่า กกต.มีอำนาจในการไต่สวน และวินิจฉัยคดีฮั้วเลือก สว.ดังกล่าว โดยยกมาตรา 49 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วย กกต.มาคอนเฟิร์มชัดเจน

อย่างไรก็ดีท่าทีของ กกต.ในเรื่องดังกล่าวค่อนข้าง “แบ่งรับแบ่งสู้” ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ เนื่องจากข้อมูลเรื่องฉาว “โพยฮั้ว” ถูกเปิดเผยออกไปยังสาธารณะเป็นจำนวนมาก กกต.จึงสงวนท่าที ตรวจสอบเท่าที่กฎหมายให้อำนาจ นั่นคือการเลือก สว. ส่วนความผิดฐานทางอาญาฐานอื่น เช่น อั้งยี่ และฟอกเงินนั้น คาดว่าจะเปิดช่องให้ “ดีเอสไอ” ดำเนินการสอบสวนได้ ซึ่งต้องจับตาดูว่าในการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ในวันที่ 6 มี.ค.จะมีบทสรุปออกมาเป็นอย่างไร

ประเด็นน่าสนใจที่ “ดีเอสไอ” เชื่อว่ามีอำนาจในสอบสวนคดีนี้ เพราะคดีดังกล่าวพัวพันกับกฎหมายอาญา และกฎหมายเกี่ยวกับการฟอกเงิน ซึ่งอยู่ในบัญชีแนบท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ โดยอ้างตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา 2561 (พ.ร.ป.เลือก สว.) มาตรา 77 (1) ที่บัญญัติให้การกระทำในลักษณะจัด ทำให้เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้ จูงใจให้ผู้อื่นเข้ารับเลือกเป็น สว. หรือถอนการสมัคร หรือกระทำการใด ๆ อันไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ผู้นั้นหมดสิทธิที่จะเลือก หรือได้รับเลือก หรือเพื่อจูงใจให้ผู้สมัคร หรือผู้มีสิทธิเลือกลงคะแนนหรือไม่ลงคะแนนให้แก่ผู้ใด ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี

โดยในวรรค 3 ของมาตรา 77 ดังกล่าว ระบุเพิ่มเติมว่า ความผิดตาม (1) ให้ถือเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และให้คณะกรรมการมีอำนาจส่งเรื่องให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ได้

ดังนั้น “ดีเอสไอ” อาศัยตามมาตรา 77 ดังกล่าว ที่มองว่าความผิดประเด็น “ฮั้วเลือก สว.” ข้างต้น ส่อเข้าข่ายเป็นความผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งเปิดช่องทางกฎหมายให้สำนักงาน ปปง. และ “ดีเอสไอ” มีอำนาจหน้าที่เข้าไปตรวจสอบเรื่องดังกล่าวได้ด้วย

แม้ว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.ดังกล่าว จะไม่ได้อยู่ในบัญชีท้าย พ.ร.บ.คดีพิเศษ ก็ตาม แต่บอร์ด กคพ. ก็สามารถวินิจฉัยได้ว่าคดีฮั้วเลือก สว.ดังกล่าว อยู่ภายใต้อำนาจการสอบสวนของดีเอสไอ ต้องรับเป็นคดีพิเศษหรือไม่ เพราะในพฤติการณ์คำร้องของผู้ร้อง ระบุชัดเจนว่า มีการกระทำเป็นเครือข่ายขบวนการ ส่อเข้าข่ายมีการวางแผนมาตั้งแต่ก่อนเริ่มกระบวนการเลือกสมาชิกวุฒิสภา ต่อเนื่องมาจนถึงภายหลังจากการเลือกสมาชิกวุฒิสภาเสร็จสิ้นแล้ว

มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรม มีการแบ่งแยกหน้าที่ มีฝ่ายไอทีเตรียมโปรแกรมคำนวณการลงคะแนน ออกเป็นโพยฮั้วเพื่อให้ได้ผลลัพธ์จำนวนสมาชิกวุฒิสภาตามที่ต้องการ เตรียมบุคคลที่มาลงคะแนนที่เรียกว่ากลุ่ม “พลีชีพ” ดังนั้น ในการดำเนินการกับขบวนการดังกล่าว จึงต้องใช้วิธีการสืบสวนสอบสวนเป็นพิเศษ ซึ่งอยู่ในเงื่อนไขตามกฎหมายที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ จะรับดำเนินการสอบสวนเป็นคดีพิเศษได้

ดีเอสไอ ระบุด้วยว่า โพยฮั้วเลือก สว.มีจำนวน 2 ชุด กลุ่มละ 7 คนนั้น พบว่าเป็นผู้ได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 138 คน และอยู่ในลำดับสำรอง 2 คน ซึ่งดีเอพิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2563 มาตรา 77 (1) ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209 (ความผิดฐานอั้งยี่) และความผิดฐานฟอกเงินตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินพ.ศ.2542

อย่างไรก็ดีแม้บางคนจะแย้งว่าเรื่องดังกล่าวต้อง กกต.ดำเนินการไต่สวนก่อน ซึ่งปัจจุบัน กกต.กำลังดำเนินการอยู่ก็ตาม โดยมีกำหนดเวลาตามไทม์ไลน์คือภายใน 1 ปีหลังการเลือก สว.เมื่อ 26 มิ.ย. 2567 จะเสร็จสิ้นเมื่อ 26 มิ.ย. 2568 หรืออีกราว 4 เดือนนับจากนี้ก็ตาม หากพบการกระทำความผิดจะดำเนินการส่งศาลฎีกาพิจารณาต่อไป

แต่ดีเอสไอยังคงยืนยันว่า ตามตัวบทกฎหมายไม่มีบรรทัดไหนบัญญัติว่าเรื่องต้องผ่าน กกต.ก่อนส่งให้ดีเอสไอ ดังนั้นดีเอสไอสามารถพิจารณารับเป็นคดีพิเศษ เพื่อตรวจสอบเกี่ยวกับเงื่อนปมคดีเกี่ยวกับอาญาควบคู่กันไปได้เลย กล่าวคือ กกต.ตรวจสอบเรื่องกระบวนการเลือก สว. ส่วนดีเอสไอตรวจสอบเกี่ยวกับความผิดทางอาญาตามคำร้องกล่าวหา และหากดีเอสไอตรวจสอบเสร็จแล้ว ค่อยส่ง กกต.เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาต่อได้

ทั้งนี้ในการประชุม กคพ. วันที่ 6 มี.ค. มีเงื่อนปมสำคัญในการพิจารณาคดีฮั้วเลือก สว.ด้วย โดยจะพิจารณาเส้นทางการเงินที่เกี่ยวข้อง หากพบความผิดฐาน “ฟอกเงิน” และมีวงเงินเกิน 300 ล้านบาท อธิบดีดีเอสไอ สามารถใช้อำนาจโดยตำแหน่งดำเนินการรับเป็นคดีพิเศษได้เลย

ส่วนความผิดทางอาญาฐานอื่น ตามมาตรา 21 (2) แห่ง พ.ร.ป.การสอบสวนคดีพิเศษ ระบุว่า หากมีความผิดอาญาอื่นนอกจากที่ได้กำหนดไว้แล้วในมาตรา 21 (1) คือตามความผิดแนบท้ายกฎหมายดังกล่าวบอร์ด กคพ. สามารถมีมติไม่น้อยกว่าสองในสามเพื่อกำหนดให้ “คดีหนึ่งคดีใด” นั้นอยู่ในอำนาจสืบสวนสอบสวนของดีเอสไอ ซึ่งต้องใช้วิธีการออกเป็นประกาศกรมสอบสวนคดีพิเศษ เท่ากับว่าต้องได้เสียงอย่างน้อย 15 เสียง จากบอร์ด กคพ. ทั้งหมด 22 คน

ทั้งหมดคือเงื่อนปมความขัดแย้งทางกฎหมายระหว่าง กกต. และดีเอสไอ ที่ถูกหลายฝ่ายมองว่าเป็น “สงครามตัวแทน” ระหว่าง “ค่ายแดง-น้ำเงิน” ที่กำลังวัดกำลัง-แข่งบารมีทางการเมืองกันอยู่ในตอนนี้ บทสรุปสุดท้ายต้องจับตาการประชุม บอร์ด กคพ. 6 มี.ค.นี้ว่า องค์กรใดจะเป็นผู้สางปัญหาเหล่านี้กันแน่

สำหรับการโหวตรับหรือไม่รับคดีฮั้วเลือก สว. เป็นคดีพิเศษ ต้องได้เสียง 2 ใน 3 ของบอร์ด กคพ. จำนวน 22 เสียง (ได้มากกว่า 15 ขึ้นไป)

ทั้งนี้การประชุมเมื่อวันที่ 25 ก.พ. ที่ผ่านมา มีกระแสข่าวว่ามี “บิ๊กเนม” พยายามบล็อกเสียงโหวตไม่ให้เกิน 2 ใน 3 โดยมีการเช็คเสียงโหวตปรากฎว่าฝั่งรับให้เป็นคดีพิเศษมี 14 เสียง ซึ่งไม่ถึง 2 ใน 3 (15 เสียง) ทำให้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ รมว.กลาโหม ประธานบอร์ด กคพ. ต้องเลื่อนการประชุมออกไปก่อน

ขณะเดียวกันในการประชุมบอร์ด กคพ.วันนี้(6 มี.ค.)มีแนวโน้มสูงที่ฝั่งรับให้คดีฮั้วการเลือก สว. จะมีเสียงโหวตไม่ถึง 2 ใน 3 (15 เสียง) ซึ่งจะทำให้คดีฮั้วการเลือก สว. ไม่เข้าเกณฑ์ต้องคดีพิเศษ

ทำให้ทางเลือกการดำเนินคดีอาญาจะมี 2 แนวทาง 1. ใช้อำนาจอธิบดีดีเอสไอ ดำเนินคดีต่อได้ แต่หากเกิดการฟ้องร้องอธิบดีดีเอสไอจะมีความเสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากไม่มีเกราะคุ้มกัน 2. ส่งสำนวนให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้ามาดำเนินคดีทางอาญาต่อ

ทั้งหมดคือความคืบหน้าคดีฮั้วการเลือก สว. ซึ่งผูกโยงกับอำนาจทางการเมืองของ “นายใหญ่สีแดง” และ “ครูใหญ่สีน้ำเงิน” ที่ต้องห้ำหั่นชิงธงนำทางการเมือง แม้จะมีดีลถกลับกันไปแล้ว แต่หนี้แค้นในอดีตที่ต้องชำระ ส่งผลให้ “สองผู้ยิ่งใหญ่” ไม่ไว้วางใจกันและกัน