คดี 'ฮั้วเลือกสว.' ส่ออลเวง ในมุมกฎหมายอำนาจใคร?

คดี 'ฮั้วเลือกสว.' ส่ออลเวง ในมุมกฎหมายอำนาจใคร?

น่าสนใจอย่างยิ่ง ประเด็นที่ดูเหมือนยังมีความขัดแย้งในการตีความกฎหมาย เพื่อดำเนินคดี “คดีฮั้วเลือกตั้งส.ว.” อยู่ไม่น้อย หลัง “ดีเอสไอ” (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) อ้างอำนาจตามกฎหมายรับเป็นคดีพิเศษ ทั้งที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ก็กำลังทำคดีอยู่

กรณีผลการประชุม “คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.)” เมื่อวันที่ 6 มีนาคมที่ผ่านมา มีมติ 11 ต่อ 4 ให้รับคดีฮั้วเลือก ส.ว.เป็นคดีพิเศษในความผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งพิจารณาตามข้อเสนอคณะอนุกรรมการกลั่นกรองฯ ที่ให้พิจารณาตามฐานความผิดคดีฟอกเงิน ซึ่งเป็นหนึ่งในความผิดตามบัญชีแนบท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ อยู่ในอำนาจดีเอสไอในการทำคดีอยู่แล้ว แต่มีประเด็นความผิดต้องเกินวงเงิน 300 ล้านบาท ที่กำลังรวบรวมพยานหลักฐานให้ชัดเจน จึงเสนอว่า หากจะให้ “ดีเอสไอ” ดำเนินคดีนี้ด้วยข้อหาฟอกเงิน ต้องให้ “กคพ.” ลงมติชี้ขาดรับเป็นคดีพิเศษ นำไปสู่การลงมติด้วยเสียง 11 ต่อ 4 ดังกล่าว

ทั้งนี้ เสียงส่วนใหญ่ใน กคพ.เห็นว่า เป็นแนวทางที่ง่ายต่อการดำเนินการ ไม่ต้องมีปัญหาตีความอำนาจซ้ำซ้อนกับ “กกต.”(คณะกรรมการการเลือกตั้ง) อีกทั้งอำนาจตามกฎหมายคดีพิเศษนั้น หากพนักงานสอบสวนคดีพิเศษพบการกระทำผิดในเรื่องเดียวกันนี้ ไปสู่ข้อหาอื่น เช่น อั้งยี่ ความผิดต่อความมั่นคง ม.116 ให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษทำคดีต่อเนื่องได้โดยไม่ต้องขออนุมัติเป็นคดีพิเศษอีก ที่ประชุม กพค. จึงเลือกแนวทางนี้ แล้วมีมติโดยไม่ได้มีการลงมติในประเด็นอื่น ไม่ได้มีมติตีตกข้อหาอั้งยี่และ ม.116 แต่อย่างใด

และช่วงเย็นวันที่ 6 มีนาคม กรมสอบสวนคดีพิเศษได้เผยแพร่เอกสารแถลงข่าวผลการประชุมและลงมติของบอร์ด กคพ. โดยมีเนื้อหาว่า การมีมติชี้ขาดให้กรณีการสมคบกันในความผิดฐานฟอกเงินของบุคคลหรือคณะบุคคลที่กระทำผิดเป็นอั้งยี่ตามมาตรา 209 แห่งประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอมาเป็นคดีพิเศษ

“ส่วนคดีอาญาใดที่ต่อเนื่องหรือเกี่ยวข้องกับคดีพิเศษดังกล่าว เช่น คดีความผิดฐานอั้งยี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 209 รวมทั้งความผิดตามมาตรา 116 และการกระทำความผิดที่เกี่ยวกับการฟอกเงินทางอาญา ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 77 วรรคท้าย ย่อมเป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 วรรคสอง ที่จะทำการสอบสวนต่อไปได้ โดยไม่ต้องมีมติให้คดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (2) แต่อย่างใด”

แต่บทความของ นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการด้านกฎหมาย ที่ลงเผยแพร่ถึงสองวันติด 5-6 มีนาคม 2568 โต้แย้งอำนาจของ “ดีเอสไอ” อย่างชัดเจน

โดยเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2568 “แก้วสรร” ชี้ชัดว่า คดีนี้ “กกต.” กับ “ดีเอสไอ” จะแยกกันทำไม่ได้

 “ถาม ดีเอสไอ กำลังขอคณะกรรมการให้มีมติรับคดี “ฮั้วเลือกตั้ง ส.ว.” เป็นคดีพิเศษ โดยอ้างว่ากกต.มีอำนาจเฉพาะความผิดตามกฎหมายเลือกตั้ง ส่วนตนจะสอบสวนแต่เฉพาะความผิดฐานอื่น คือฐานอั้งยี่ และฟอกเงิน เท่านั้น ขอถามว่า การกระทำความผิดครั้งเดียวแต่ผิดหลายบทอย่างนี้ จะแยกการสอบสวนเป็นสองสายขนานกันไปอย่างนี้ได้หรือครับ

 ตอบ แยกไม่ได้ครับ ขืนให้แยกได้คดีก็จะเดินไปถึงศาลสองศาล แล้วสองศาลนั้นจะตัดสินแยกกัน ต่างกันได้อย่างไร ในเมื่อมีมูลคดีมาจากการกระทำเดียวกัน

คดีที่ทำผิดกระทงเดียวผิดหลายบทอย่างนี้ กฎหมายบอกให้ลงโทษบทที่โทษหนักที่สุด ซึ่งก็หมายความว่า ทุกบทต้องอยู่ในคดีเดียวกันอยู่แล้ว ดีเอสไอจะไปแยกสอบสวนอย่างนั้นไม่ได้...”

ประเด็นอำนาจหน้าที่ “กกต.” ว่าไว้อย่างไร

 “ตอบ ให้กกต.เป็นหลัก ถ้ากกต.ลงมือสอบสวนใครก็รับคดีมาสอบสวนซ้อนไม่ได้ หรือถ้ารับไว้แล้ว กกต.เห็นควรสอบสวนเอง ก็เรียกสำนวนมาสอบได้เองอีกเช่นกัน ส่วนบางคดีถ้าสอยส.ส.หรือ ส.ว.ในศาลฎีกาได้แล้ว ก็อาจมอบให้อัยการฟ้องอาญาต่อไป...”

ประเด็น ความผิดฐานอั้งยี่และฟอกเงิน สองฐานความผิดนี้ เอามาตั้งข้อหาในคดี “ฮั้วเลือกตั้ง ส.ว.” ได้หรือไม่

 “ตอบ เรื่องฟอกเงินนั้น จะเอามาใช้ได้ก็ต้องได้ความว่า มีความผิดฐานซื้อสิทธิขายเสียง ตามกฎหมายเลือกตั้งก่อน ดีเอสไอ จะเอามาตั้งข้อหาลอยๆโดยไม่ปรากฏความผิดตามกฎหมายเลือกตั้งไม่ได้ ซึ่งตนเองก็รับไว้แล้วว่าข้อหานี้ตนไม่มีอำนาจ...”

ประเด็น ความผิดอั้งยี่ เอามาใช้ได้หรือไม่ อย่างไร

 “ตอบ “อั้งยี่” เป็นองค์กรอาชญากรรม มีมาแต่โบราณ สมาชิกออกมาเที่ยวกระทำความผิดได้มากมายหลายฐาน ทั้งกรรโชกทรัพย์ ทำร้ายร่างกาย ฆ่าผู้อื่น จับมาลงโทษเท่าไหร่ก็ไม่หมด กฎหมายจึงสร้างความผิดฐาน “เป็นอั้งยี่” ขึ้นมา โดยถือว่า เป็นองค์กรที่เป็นภัยต่อความสงบสุขในบ้านเมือง แม้จำเลยจะไม่ได้ลงมือทำผิดอะไร แต่แค่เป็นสมาชิกก็ผิดแล้ว หรือถ้าสมาชิกใดไปฆ่าคนโดยตนอยู่ในที่ประชุมแล้วไม่คัดค้าน ก็ถือว่า เป็นตัวการฆ่าคนด้วยตัวหัวหน้าก็โดนด้วย ใครช่วยหาสมาชิก ให้ที่พำนัก ก็ผิดด้วย ทั้งหมดนี้แสดงว่า เราต้องการขจัดภัยร้ายที่ถึงขนาดจับตัวกันเป็นองค์กร มีการจัดตั้ง มีหัวหน้า มีสมาชิก มีการกระทำผิดเป็นกิจกรรม เป็นภัยต่อความสงบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจนต้องปราบปราม

เข้าใจอย่างนี้แล้ว คุณว่า คณะจัดฮั้วเลือก ส.ว.ตามที่กล่าวหากันนั้น มีการจัดการกว้างขวางเกินครึ่งประเทศก็จริง แต่ไม่ได้จัดตั้งเป็นองค์กรยั่งยืนจนเป็นภัยอะไรให้ต้องกวาดล้าง เป็นแค่การจัดการเฉพาะกิจ จัดเสร็จแล้วก็จบ จะไปถือเป็นอั้งยี่อะไรไม่ได้หรอกครับ ทำอะไรผิดก็หยิบมาจัดการเป็นกระทงๆไปตามนั้น ก็จบ”

นอกจากนั้น “แก้วสรร” ชี้แนะ กรณีถ้าถือว่า กกต.ทำงานล่าช้า หรือไม่ชอบมาพากล ก็เอาผิดที่ กกต.ได้

โดยเมื่อถามไม่เห็นด้วยใช่หรือไม่ “ตอบ ผมท้วงติงเท่านั้นว่า ทางกฎหมายมันทำอย่างนี้ไม่ได้ ถ้ายังเห็นกันว่า คดีนี้มีการกระทำผิดจริงแต่ กกต.อมคดีไว้ในปากเฉยๆเฝ้าเตะถ่วงอยู่อย่างนั้น เรื่องก็ต้องเลื่อนไปเป็นการตรวจสอบกกต. คือให้ดีเอสไอตั้งสำนวนเลยว่า ในคดีนี้ มี กกต.อย่างน้อย 1 คน ละเว้นหน้าที่โดยทุจริต จากนั้นก็เอาหลักฐานที่คุยว่ามีอยู่เต็มมือนั้น ใส่ในสำนวนสอบเบื้องต้นให้หมดแล้วส่ง ป.ป.ช.เลยภายในสามสิบวัน ว่ามี กกต. และเจ้าหน้าที่ใดร่วมกระทำผิดบ้าง...

ถ้าป.ป.ช.เสียงเกินกึ่งเห็นว่าผิด เรื่องก็จะผ่านอัยการแล้วไปถึงศาลฎีกาแผนกคดีอาญาทางการเมือง ถึงขั้นพ้นตำแหน่ง กกต. และต้องโทษในที่สุด...”

อีกวัน(6 มี.ค.68) “แก้วสรร” เผยแพร่บทความเรื่อง “น่าสงสาร...ดีเอสไอ” ตอกย้ำอีกครั้ง

เริ่มจาก ประเด็นตามกฎหมาย “ดีเอสไอ” ทำอะไรได้บ้าง

 “ตอบ ตามมาตรา ๒๑ จะระบุไว้สองประตู ประตูแรกคือ ๒๑(๑) รับไว้เพราะเป็นฐานความผิดที่กำหนดไว้ท้าย พ.ร.บ. และมีลักษณะควรแก่การสอบสวนพิเศษ เช่น คดีซับซ้อน คดีข้ามชาติ คดีเกิดขึ้นกว้างขวาง คดีส่งผลกระทบความมั่นคงฯ คดีพวกนี้ อธิบดี ดีเอสไอ เป็นผู้พิจารณาและสั่งรับคดี คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ไม่มีอำนาจเกี่ยวข้อง ได้แต่วางระเบียบในการคัดกรองคดีเท่านั้นว่า ต้องมีลักษณะพิเศษอย่างไร 

ส่วน ประตูที่สอง 

“เป็นความผิดนอกบัญชี แต่ ๒๑(๒) ระบุว่า ดีเอสไอขอมติคณะกรรมการ สองในสาม ให้เป็นคดีพิเศษได้ เช่น เห็นว่า คดีฮั้ว ส.ว.มีความผิดฐานเป็นอั้งยี่ แต่ความผิดอั้งยี่นี้ไม่มีในท้ายบัญชีก็เลยมาขอ มติสองในสาม ของ กคพ. ให้รับเป็นคดีพิเศษ...

 ประเด็น การสอบสวนสองสาย ขนานกันไป คือ ดีเอสไอ ทำคดีฟอกเงิน และ กกต.ทำคดี ซื้อสิทธิขายเสียง ทำได้หรือไม่

 “ตอบ ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกครับ การกระทำเดียวผิดได้หลายบทก็จริง แต่สอบหลายสาย ตัดสินหลายศาล ไม่ได้ ทุกฐานความผิดต้องถูกรวมฟ้องเป็นคดีเดียวเท่านั้นกฎหมาย กกต. ก็ระบุไว้แล้วว่า ถ้าใครรับคดีเลือกตั้งไว้ กกต.ก็สั่งให้ยุติ แล้วส่งคดีมาให้ กกต.ทำ ก็ได้

 ประเด็น ดีเอสไออาจเถียงได้ไหมว่า เขารับทำแต่คดีฟอกเงิน

 “ตอบ เถียงอย่างนั้นไม่ได้ กฎหมายดีเอสไอระบุไว้เองเลยว่า ทุกฐานความผิดที่เกี่ยวกับความผิดท้ายบัญชีให้ถือเป็นคดีพิเศษด้วย การรับคดีข้อหาฟอกเงิน จึงเป็นการรับคดีซื้อสิทธิขายเสียงด้วยในตัว

 ยิ่งไปกว่านั้น ข้อหาฟอกเงินในครั้งนี้ มันเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายฟอกเงินได้ มันต้องผ่านข้อหาซื้อสิทธิขายเสียงก่อนเท่านั้น ดีเอสไอทำเรื่องฟอกเงินในคดีนี้เมื่อไหร่ ก็ต้องทำคดีซื้อสิทธิขายเสียงด้วยเสมอ ทำแล้วก็ต้องฟ้องซื้อสิทธิขายเสียงด้วย เพราะกฎหมายดีเอสไอ บอกว่าให้ถือเป็นคดีพิเศษด้วย”

ประเด็น เป็นการใช้อำนาจซ้อนอำนาจ กกต.อย่างชัดเจน

 “ตอบ ถูกต้องครับ มันเป็นเรื่องจะเอาให้ได้ในฐานอั้งยี่ แต่เมื่อเสียงไม่ถึงสองในสาม ก็เลยให้ ดีเอสไอลุยเอง ในฐานฟอกเงิน ซึ่งไม่ว่าจะความผิดฐานไหน มันก็ซ้อนอำนาจ กกต.จนทำไม่ได้อยู่ดี

 ที่สำคัญ ต้องไปดูมาตรา ๗๗ ของ กฎหมายเลือกตั้ง ส.ว.ให้ดีๆว่า ที่เขาระบุให้การซื้อสิทธิขายเสียงผิดฐานฟอกเงินด้วยนั้น มาตรานี้เขาบัญญัติชัดเจนนะครับว่า “เมื่อปรากฏความผิดฐานซื้อสิทธิขายเสียงนี้ ก็ให้คณะกรรมการ กกต.มีอำนาจส่งเรื่องให้ คณะกรรมการ ปปง. ดำเนินคดีฟอกเงินต่อไป

มันชัดเจนนะครับว่า ข้อหานี้มันต้องเริ่มด้วย กกต. แล้วส่งไป ปปง.เท่านั้น...” /ฃ

เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ต้องแจ้งชัดในสายตาประชาชน ก็คือ ใครกันแน่ที่มีอำนาจสืบสวนสอบสวนตามกฎหมายอย่างแท้จริง

การตีความกฎหมาย ต้องหาข้อสรุปให้ตรงกันให้ได้ จะด้วยวิธีใดก็ตาม เพื่อให้กระบวนการยุติธรรม ที่ถูกโจมตีมาตลอด มีความน่าเชื่อถือ และไม่เป็น “เครื่องมือ” ฝ่ายการเมือง สร้างอำนาจต่อรอง หรือ กลั่นแกล้งรังแกฝ่ายตรงข้าม

ไม่เช่นนั้น ข้อครหา ข้อกล่าวหา “คดีฮั้วเลือกตั้งส.ว.” เป็นคดีต่อรองผลประโยชน์ทางการเมือง ระหว่าง “สีแดง” กับ “สีน้ำเงิน” ก็จะมีน้ำหนักในสายตาประชาชน

แม้ว่า ข้อดีในการรับทำคดีของ “ดีเอสไอ” จะทำให้เห็นว่า รัฐบาลเอาจริงกับการตรวจสอบความผิด “ฮั้วเลือกตั้งส.ว.” แต่การมองข้ามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของ “กกต.” ก็ไม่ต่างอะไรกับ การสร้างความเคลือบแคลงใจให้เกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน

นี่คือ “ความอลเวง” ที่เป็นอยู่ของคดีฮั้วเลือกตั้งส.ว. อย่างไม่ต้องสงสัย หรือใครว่าไม่จริง!?