'เท้ง' เล่าเบื้องหลังคุย 'วันนอร์' จี้ตัด 'ทักษิณ' พ้นญัตติซักฟอก

'ณัฐพงษ์' เล่าเบื้องหลัง 'วันนอร์' เคยเชิญไปหารือไม่เป็นทางการ จี้ตัดชื่อ 'ทักษิณ' ในญัตติซักฟอก ไม่งั้นไม่บรรจุวาระ ทั้งที่เรื่องปกติ หวัง ปธ.สภาฯแก้ไขให้ถูกต้อง
เมื่อช่วงดึกคืนวันที่ 9 มี.ค. 2568 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุถึงกรณีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่า เมื่อนายกฯไม่เข้าใจกลไกสภา และประธานรัฐสภาไม่ยอมใช้อำนาจตัวเองอย่างถูกต้อง ในฐานะประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ สิ่งที่เชื่อว่าประชาชนอยากเห็น คือนายกรัฐมนตรีที่มีความเข้าใจต่อการบริหารราชการแผ่นดิน มีความสามารถในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมให้กับประเทศ แต่หลายการให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรี ทำให้ประชาชนต้องตั้งคำถาม ว่าใครกันคือนายกตัวจริง และตัวนายกมีความเข้าใจในการบริหารราชการแผ่นดิน จริงหรือไม่
นายณัฐพงษ์ ระบุว่า ล่าสุด ที่มีการให้สัมภาษณ์ว่า นายกฯไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการระบุชื่อคุณทักษิณ ชินวัตรลงไปในญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะเป็นการกล่าวพาดพิงบุคคลภายนอกที่ไม่มีสิทธิชี้แจงในสภาได้ ตนคิดว่าท่านนายกรัฐมนตรีอาจจะยังไม่เคยติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจในหลาย ๆ ครั้งที่ผ่านมาที่จะมีการกล่าวถึงบุคคลภายนอกเป็นปกติอยู่แล้ว ซึ่งก็มีทั้งในรูปแบบที่เอ่ยชื่อกันตรง ๆ หรือในรูปแบบเรียกอักษรย่อโดยที่ฟังกันแล้วก็พอเป็นที่รับรู้ได้ว่าผู้อภิปรายเอ่ยถึงบุคคลใด
เรื่องนี้ เป็นสิ่งที่สมาชิกผู้อภิปรายจะต้องรับผิดชอบต่อคำพูดของตนเอง ว่าการกล่าวหาพาดพิงบุคคลภายนอกนั้น หากปราศจากพื้นฐานข้อเท็จจริง ก็เป็นสิ่งที่ผู้อภิปรายจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อการถูกฟ้องร้องดำเนินคดีที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากรัฐธรรมนูญไม่ได้ให้เอกสิทธิ์คุ้มครองในส่วนนี้ไว้ อย่างไรก็ตามแต่ คุณทักษิณ ชินวัตร เป็นบุคคลสาธารณะ ที่ทุกวันนี้ยังคงแสดงบทบาทของตนเองผ่านหน้าสื่ออยู่เสมอ ว่าฉันคือผู้มีบทบาทสำคัญในการคุมบังเหียนรัฐบาลชุดนี้
"เมื่อคุณทักษิณเองแสดงบทบาทโดยชัดเจนว่ามีส่วนไม่มากก็น้อยในการบริหารราชการแผ่นดิน คุณทักษิณก็ย่อมอยู่ในสถานะบุคคลสาธารณะและควรมีความรับผิดรับชอบโดยต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์และถูกตรวจสอบได้ ไม่ใช่ลอยตัวอยู่เหนือการถ่วงดุลตรวจสอบ ทำตัวเป็นผู้ยิ่งใหญ่ คอยชักใยรัฐบาลอยู่ข้างหลัง โดยที่ไม่มีใครแตะต้องได้ นี่คือสิ่งที่พวกเรากำลังตั้งคำถาม ต่อบทบาทของคุณทักษิณต่อรัฐบาลชุดนี้" นายณัฐพงษ์ ระบุ
นายณัฐพงษ์ ระบุอีกว่า มาถึงที่ตัวนายกรัฐมนตรีเอง สิ่งที่นายกควรแสดงออก คือการแสดงความเข้าใจกระบวนการในส่วนนี้ของสภา และพร้อมที่จะเข้ามาตอบทุกข้อสงสัย และในทุกประเด็นการซักฟอก ว่าตกลงแล้วคุณทักษิณผู้เป็นบิดา เป็นผู้ชักใยการบริหารราชการแผ่นดินอยู่จริงหรือไม่ ถ้านายกยืนยันว่าไม่ จะกลัวอะไรกับการกล่าวหาที่ไม่มีน้ำหนักของพรรคร่วมฝ่ายค้านเวทีการตอบชี้แจงในสภาด้วยตัวเองของนายก จะเป็นเวทีที่ดีที่สุดที่นายกได้แสดงบทบาทการเป็นผู้นำรัฐบาลอย่างแท้จริง เพราะมีแต่นายกที่ตอบได้ คุณทักษิณที่อยู่นอกสภา เข้ามาตอบแทนนายกไม่ได้ เปล่าประโยชน์ที่จะมาเถียงกันเรื่องใส่ชื่อคุณทักษิณในญัตติได้/ไม่ได้ เพราะที่ผ่านมาในอดีต ก็มีการใส่ชื่อบุคคลภายนอกในญัตติมาแล้วหลายครั้งเช่นกัน
หัวหน้าพรรค ปชน. ระบุว่า ความพยายามในการลบชื่อคุณทักษิณออกจากญัตติต่างหาก ที่เป็นความพยายามในการตีรวนกระบวนการในสภา ไม่ให้การอภิปรายในสภาสามารถกล่าวถึงหรือแตะต้องอะไรคุณทักษิณได้เลย เพราะพูดถึงนิดหน่อย ก็จะมีคนลุกขึ้นประท้วงแน่นอน ดังนั้น ถ้าอยากให้การประชุมราบรื่น ประชาชนได้ประโยชน์ นายกพร้อมตอบชี้แจงทุกประเด็น ผมคิดว่านายกควรส่งสัญญาณไปทางประธานรัฐสภา ว่านายกและบุคคลในครอบครัวไม่ได้ติดใจอะไร พร้อมให้ใส่ชื่อ และให้กลไกสภาเดินหน้าต่อ
มาที่ตัวประธานรัฐสภาเอง ในฐานะประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติ เชื่อว่าท่านทราบดี ว่าการตัดสินใจของท่าน ย่อมมีต้นทุนทางการเมืองที่ตามมาทั้งสองทาง ยืนยันว่า ท่านมีการเชิญผมเข้าไปพูดคุย “อย่างไม่เป็นทางการ” จริง ว่าท่านจะไม่บรรจุญัตติให้ หากพรรคร่วมฝ่ายค้านไม่ลบชื่อคุณทักษิณออกจากญัตติ ซึ่งลำพังการเชิญเข้าไปพูดคุยหารือกันนอกรอบ จะถือเป็นการแจ้งให้ผู้เสนอทราบภายใน 7 วันหรือไม่ หรือควรต้องยึดหนังสือที่มีการตอบกลับอย่างเป็นทางการ จึงจะถือว่าเป็นการแจ้งที่ถูกต้องตามข้อบังคับ? ประเด็นนี้เป็นประเด็นเรื่องกฎระเบียบเล็ก ๆ แต่มีความสำคัญ ที่จะทำการติดตามสอบถาม เพื่อให้เกิดความชัดเจนต่อไป
หัวหน้าพรรค ปชน. ระบุอีกว่า ประเด็นที่ใหญ่กว่า ที่ได้หาหรือกับประธานรัฐสภาในวันนั้น คือ ประโยคท้าย ๆ ก่อนสิ้นสุดการสนทนาที่ได้หารือกันร่วมครึ่งชั่วโมง คือ ประโยคที่ประธานรัฐสภาพูดกับผม จับใจความสำคัญได้ว่า “ถ้าฝ่ายค้านยืนยันจะไม่ลบชื่อคุณทักษิณออก ก็ยืนยันที่จะไม่บรรจุญัตติให้ และถ้าฝ่ายค้าน (หรือใคร) จะยื่นร้องเรียนอย่างไรต่อตน ก็ยินดีและมีความเข้าใจที่จะให้ดำเนินการตามนี้” ประโยคนี้ เป็นประโยคที่ทำให้เข้าใจ ว่าท่านได้ชั่งน้ำหนักมาดีแล้ว จึงได้ตัดสินใจแบบนี้
ในมุมหนึ่ง ท่านให้ข่าวว่าตัวท่านเองกลัวจะตกเป็นจำเลย ถูกฟ้องร้องไปด้วย เพราะเป็นผู้อนุญาตให้มีการบรรจุญัตติ ทั้ง ๆ ที่รัฐธรรมนูญมาตรา 124 ก็บัญญัติไว้อย่างชัดเจน ว่าเป็นความรับผิดชอบของสมาชิกผู้อภิปราย ประธานรัฐสภาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ในเรื่องนี้ ดังนั้น ข้อกังวลในส่วนนี้ของประธานรัฐสภา คิดว่าไม่ค่อยมีน้ำหนัก ซึ่งในอีกมุมหนึ่ง สังคมก็กำลังตั้งคำถามว่า การทำหน้าที่ของประธานรัฐสภา ที่ท่านไม่ยอมบรรจุญัตตินี้ ถือเป็นการเล่นบทบาทการเป็นผู้คุ้มกันให้กับฝ่ายบริหารแทนการถ่วงดุลตรวจสอบซึ่งเป็นหน้าที่ของประมุขฝ่ายนิติบัญญัติหรือไม่?
นายณัฐพงษ์ ระบุด้วยว่า การไม่ยอมบรรจุญัตติในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลที่ท่านให้ตามหน้าสื่อ ว่าท่านเกรงว่าจะถูกฟ้องร้อง หรือเหตุผลที่สังคมกำลังตั้งคำถาม ว่าประธานรัฐสภากำลังเล่นอยู่ในบทบาทใดกันแน่ ระหว่างประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ ที่ต้องถ่วงดุลตรวสอบรัฐบาล หรือการทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันรัฐบาล เชื่อว่า ประโยคท้าย ๆ ที่ท่านให้ข้อคิดก่อนการจบบทสนทนา เป็นสิ่งสะท้อนได้ชัดเจนที่สุด ว่าท่านกำลังใช้อำนาจในนามประธานรัฐสภาภายใต้บทบาทใด
หัวหน้าพรรค ปชน. ระบุอีกว่า การยื่นหนังสือคัดค้านต่อหนังสือแจ้งข้อบกพร่องที่ท่านประธานรัฐสภาส่งกลับมาให้กับผม ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราต้องการแสดงออกถึงความดื้อแพ่ง ไม่ยอมปรับแก้ประเด็นเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่อย่างใด แต่เป็นการดำเนินการและการแสดงออกที่ต้องทำให้ประธานรัฐสภาต้องแบกรับต้นทุนที่จะตามมา จากการที่ท่านไม่ได้ใช้อำนาจของท่านอย่างถูกต้องในฐานะประมุขฝ่ายนิติบัญญัติ
"การออกมาให้ความเห็น และรายละเอียดข้อหารือที่ผมได้มีการพูดคุยกับท่านประธานรัฐสภาในครั้งนี้ สืบเนื่องจากทางท่านประธานเอง ได้มีการเปิดเผยทางหน้าสื่อก่อนว่า ได้เชิญผมเข้าไปหารือนอกรอบในครั้งนี้ ผมหวังว่าท่านจะแก้ไขสถานการณ์นี้ให้กลับมาตั้งอยู่บนหลักการที่ถูกต้อง และเดินหน้าต่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อไปครับ" หัวหน้าพรรค ปชน.ระบุ
ภาพและข้อมูลจาก: ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ - Natthaphong Ruengpanyawut