โชว์ละเอียด! มาตรการ ป.ป.ช.ป้องปรามทุจริตกระบวนการ 'เบิกจ่ายยา'

โชว์ละเอียด! มาตรการ ป.ป.ช.ป้องปรามทุจริตกระบวนการ 'เบิกจ่ายยา'

ป.ป.ช.โชว์รายละเอียด มาตรการป้องปรามทุจริตกระบวนการ 'เบิกจ่ายยา' ตามสิทธิสวัสดิรักษาพยาบาลของ ขรก. ชง ครม.เห็นชอบไปแล้ว ปรับปรุงกลไก-เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน

เมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2568 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เผยแพร่มาตรการป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ โดยระบุว่า สถานการณ์การทุจริตคอร์รัปชันของประเทศไทยยังมีแนวโน้มทวีความรุนแรง และมีความซับซ้อนมากขึ้น ส่งผลให้หน่วยงานที่ทำหน้าที่ในการตรวจสอบอย่างสำนักงาน ป.ป.ช. ต้องดำเนินการปรับปรุงกลไกในการปฏิบัติงาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน รวมทั้งเพิ่มมาตรการเพื่อส่งเสริมการป้องกันและปราบปราม

การทุจริต เพื่อยกระดับการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตของประเทศในภาพรวมให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น และที่ผ่านมาสำนักงาน ป.ป.ช. ได้มีการเสนอมาตรการสำคัญเพื่อนำมาใช้รับมือกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรธรรมชาติหลากหลายรูปแบบ โดยหนึ่งในมาตรการที่น่าสนใจ คือ “มาตรการป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ”  

“ยา” เป็นสินค้าคุณธรรม (Merit Goods) ที่ต้องอาศัยข้อมูลทางวิชาการที่ถูกต้องทั้งข้อดีและข้อเสียในการตัดสินใจเลือกใช้มากกว่าการลด แลก แจก แถม หรือสร้างแรงจูงใจด้วยวิธีการต่าง ๆ แต่ในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกว่าอิทธิพลการส่งเสริมการขายยาของบริษัทยา โดยเฉพาะที่กระทำโดยตรงต่อแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ เป็นสาเหตุหรือปัจจัยที่สำคัญมากประการหนึ่งที่ทำให้เกิดการใช้ยาอย่างไม่สมเหตุสมผลในโรงพยาบาล ประกอบกับในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ได้ปรากฏข่าวทางสื่อในช่องทางต่าง ๆ ในประเด็นการทุจริตเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่ายาของข้าราชการ ซึ่งได้มีการสอบสวนโดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม

การทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งพบว่ามีการกระทำในลักษณะเป็นกระบวนการโยงใยเป็นเครือข่ายการทุจริต โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ ผู้ใช้สิทธิและเครือญาติ บุคลากรในโรงพยาบาล และกลุ่มบริษัทจำหน่ายยา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ภาครัฐต้องสูญเสียงบประมาณโดยไม่จำเป็นในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา 

ประเด็นการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยาเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ และเป็นเรื่องเฉพาะทางที่ต้องอาศัยความรู้ ความเชี่ยวชาญจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษามาตรการป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยา ซึ่งมีศาสตราจารย์ภักดี โพธิศิริ เป็นประธานอนุกรรมการฯ โดยมีอำนาจหน้าที่ในการศึกษา รวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการเบิกจ่ายยา รวมทั้งแนวทางป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตเกี่ยวกับกระบวนการเบิกจ่ายยา ตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาล รวมทั้งเสนอความเห็นเพื่อให้มีการเสนอมาตรการ ความเห็น หรือข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยาต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณานำข้อเสนอแนะดังกล่าว เสนอต่อคณะรัฐมนตรี ความนัยมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561

ในส่วนของประเด็นปัญหาที่นำไปสู่การพิจารณา ได้แก่ ปัจจัยด้านพฤติกรรมของบุคลากรที่มีความเกี่ยวข้อง กล่าวคือ บุคลากรที่มีความเกี่ยวข้องกับกระบวนการเบิกจ่ายยามีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ทำให้รัฐสูญเสียค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็น หรือในบางรายมีพฤติกรรมทุจริต อาศัยช่องว่างในโอกาส ตำแหน่งหน้าที่ หรือสิทธิที่ตนมีเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบ ทั้งนี้ อาจแบ่งกลุ่มของบุคลากรที่มีความเกี่ยวข้องได้ 3 กลุ่ม คือ

1. กลุ่มบริษัทยา มีพฤติกรรมการส่งเสริมการขายยาที่ไม่เหมาะสม โดยการเสนอประโยชน์ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสั่งจ่ายยา เพื่อแลกกับยอดจำหน่าย ตัวอย่าง เช่น การเสนอให้แพทย์ผู้สั่งจ่ายยาเข้าร่วมการสัมมนาในต่างประเทศ ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวเป็นการจูงใจให้แพทย์สั่งจ่ายยาอย่างไม่เหมาะสม

2. กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสั่งจ่ายยา ทำการสั่งจ่ายยาอย่างไม่เหมาะสม เช่น เลือกจ่ายยาที่มีราคาแพงโดยไม่จำเป็น ทั้งที่สามารถจ่ายยาที่มีราคาถูกที่มีคุณภาพเท่ากันได้ หรือจ่ายยาที่ไม่จำเป็นหรือในปริมาณเกินความจำเป็น ในบางกรณีพบว่ามีการสั่งจ่ายยาโดยทุจริต เช่น จ่ายยาโดยไม่มีการตรวจรักษาเพื่อนำยาที่เบิกจ่ายไปใช้ส่วนตัว เป็นต้น

3. กลุ่มผู้ใช้สิทธิมีพฤติกรรมการใช้สิทธิอย่างไม่เหมาะสม เช่น การตระเวนใช้สิทธิตามโรงพยาบาลต่าง ๆ เพื่อรักษาอาการเดียวกันในเวลาใกล้เคียงกัน หรือที่เรียกว่า “พฤติกรรมช็อปปิ้งยา” ซึ่งทำให้เกิดการเบิกจ่ายยาในปริมาณมากเกินกว่าความจำเป็นในการรักษา บางกรณีพบว่ามีพฤติกรรมทุจริต เช่น บุคคลผู้ไม่มีสิทธิเข้ารับการรักษาโดยใช้สิทธิของบุคคลในครอบครัว หรือที่เรียกว่าการสวมสิทธิ หรือการตระเวนใช้สิทธิเพื่อนำยาที่ได้รับมาไปจำหน่ายต่อ เป็นต้น พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม และพฤติกรรมทุจริตของบุคลากรทั้ง 3 กลุ่มข้างต้น เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการเบิกจ่ายยาอย่างไม่เหมาะสม ทั้งในแง่ตัวยา ราคา และปริมาณ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นการเพิ่มในอัตราที่สูง

อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการที่สูงขึ้นอาจมีสาเหตุด้านอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและพฤติกรรมทุจริต เช่น ราคายาที่สูงขึ้นตามเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ ปริมาณการใช้ยาที่สูงขึ้นตามจำนวนผู้ป่วยที่มากขึ้น และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ รวมทั้งความสะดวกในการใช้สิทธิรักษาพยาบาล เป็นต้น ซึ่งสาเหตุดังกล่าวอยู่นอกเหนือการศึกษาพิจารณาเพื่อจัดทำข้อเสนอแนะตามมาตรการฉบับนี้

ภายหลังการศึกษาพิจารณาเพื่อจัดทำข้อเสนอแนะมาตรการป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ สำนักงาน ป.ป.ช. ได้มีการจัดทำ ข้อเสนอแนะ เพื่อเป็นการปรับปรุงการป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยาให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงเห็นสมควรเสนอให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการ เพื่อป้องกันหรือปราบปรามการทุจริตต่อหน้าที่ หรือการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามมาตรา 19 (11) แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม) โดยเสนอมาตรการให้คณะรัฐมนตรี จำนวน 2 ครั้ง โดยครั้งที่ 1 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2560 และได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. เสนอ 

ข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ระยะที่ 1 มี 2 ข้อเสนอ มีดังนี้ 

1. ข้อเสนอแนะเชิงระบบ 

1.1 ผลักดันให้มีการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (Rational Drug Use หรือ RDU) ในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1. ให้สถานพยาบาลของรัฐทุกสังกัด รวมถึงสถานพยาบาลเอกชนซึ่งเข้าร่วมโครงการเบิกจ่ายตรงสำหรับสิทธิรักษาพยาบาลข้าราชการ นำหลักเกณฑ์การใช้ยาอย่างสมเหตุผล (RDU)ที่เป็นมาตรฐานกลางซึ่งเกิดจากการดำเนินการอย่างมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ไปใช้บังคับอย่างเป็นรูปธรรม 2. ให้สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) ใช้หลักเกณฑ์ของการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (RDU) เป็นหนึ่งในมาตรฐานการพัฒนาและรับรองคุณภาพของสถานพยาบาล 3. ให้รัฐบาลสนับสนุนให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การใช้ยาอย่างสมเหตุผลดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ จัดให้มีระบบการกำกับ ดูแลตรวจสอบการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในแต่ละระดับอย่างเหมาะสม 4. จัดให้มีกลไกการให้ข้อมูลวิชาการด้านยาที่เกี่ยวข้องกับฐานข้อมูลของโรค เวชศาสตร์เชิงประจักษ์ (Evidence Base) และการรักษา ตลอดจนราคากลางของยา โดยข้อมูลต้องเข้าถึงง่ายเป็นปัจจุบันถูกต้อง และน่าเชื่อถือ 

1.2 จัดให้มีหน่วยงานซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์ประมวลข้อมูลสารสนเทศด้านสุขภาพและยาซึ่งเชื่อมโยงข้อมูลการใช้ยากับสถานพยาบาลทุกสังกัดเพื่อตรวจสอบการใช้ยาอย่างเหมาะสม และเชื่อมโยงข้อมูลกับกรมบัญชีกลางเพื่อตรวจสอบการใช้สิทธิรักษาพยาบาลของข้าราชการได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถตรวจสอบได้อย่างทันท่วงที (real time) ทั้งนี้ หน่วยงานดังกล่าวอาจอยู่ในรูปแบบหน่วยงานที่ขึ้นตรงต่อฝ่ายบริหาร หรือเป็นองค์กรมหาชนตามข้อเสนอสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศก็ได้

1.3 กำหนดหลักเกณฑ์การจัดซื้อยา ดังนี้ 1. ห้ามไม่ให้หน่วยงานที่ทำการจัดซื้อทำการหารายได้ในลักษณะผลประโยชน์ต่างตอบแทนทุกประเภทจากบริษัทยาเข้ากองทุนสวัสดิการสถานพยาบาล 2. ให้หน่วยงานที่ทำการจัดซื้อต้องคำนึงถึงปัจจัยด้านต้นทุน (cost) มาตรฐาน (standard) ระยะเวลาในการส่งมอบ (time) การให้บริการ (service) และราคา (price) ประกอบการตัดสินใจ 3. ให้หน่วยงานที่ทำการจัดซื้อกำหนดคุณสมบัติของบริษัทคู่ค้าใน TOR ให้บริษัทคู่ค้าต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ตามมาตรา 103/7 มาตรา 123/5 และมีระบบอบรมเกณฑ์จริยธรรมฯ แก่พนักงาน โดยให้เป็นคะแนนบวกใน price performance 4. ให้หน่วยงานที่ทำการจัดซื้อใช้กลไกต่อรองราคาตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติกำหนด

1.4 ให้เพิ่มความเข้มงวดของระบบตรวจสอบภายใน ทั้งในระดับสถานพยาบาลและระดับหน่วยงานต้นสังกัดของสถานพยาบาล

2. ข้อเสนอแนะเชิงภารกิจ 

2.1 ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและเข้มงวด 

2.2 การผลักดันให้มีการปฏิบัติตามเกณฑ์จริยธรรม ดังนี้ 

2.2.1 ให้กระทรวงสาธารณสุขและคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ บังคับใช้เกณฑ์จริยธรรมอย่างเป็นรูปธรรม ประชาสัมพันธ์ และปลูกฝังให้บุคลากรและภาคประชาชนมีความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการเสนอขายยาอย่างเหมาะสม 

2.2.2 ให้สภาวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการสาธารณสุข ให้จัดให้มีเกณฑ์จริยธรรมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขายยา และการสั่งจ่ายยาในจรรยาบรรณวิชาชีพ 

 2.2.3 ให้เกณฑ์จริยธรรมฯ เป็นกลยุทธ์เสริมสร้างธรรมาภิบาลระบบจัดซื้อและควบคุมค่าใช้จ่ายด้านยาของสถานพยาบาล

2.3 การปลุกจิตสำนึกบุคลากรที่มีความเกี่ยวข้อง และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ดังนี้

2.3.1 ให้หน่วยงานต้นสังกัดประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับเกณฑ์จริยธรรมฯ ให้บุคลากรรับทราบ และประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันในการปฏิบัติตนตามเกณฑ์จริยธรรม 

2.3.2 ให้สถานพยาบาลประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับเกณฑ์จริยธรรมฯ การส่งเสริมการขายยา และการใช้ยาอย่างสมเหตุผลให้ประชาชนได้รับทราบในรูปแบบของสื่อที่มีความเข้าใจง่าย สร้างเครือข่ายที่ประกอบไปด้วยบุคลากรในสถานพยาบาลและประชาชน ทำการเฝ้าระวังและตรวจสอบการส่งเสริมการขายยา และการใช้ยาอย่างไม่เหมาะสม รวมถึงมีช่องทางในการร้องเรียนและแจ้งข้อมูลการกระทำผิดให้แก่หน่วยงานที่มีความรับผิดชอบโดยตรง 

2.3.3 ให้กรมบัญชีกลางประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการใช้สิทธิรักษาพยาบาลในระบบสวัสดิการข้าราชการ ให้ผู้ใช้สิทธิมีความรู้ความเข้าใจและปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องเหมาะสมไม่ใช้สิทธิของตนโดยไม่สุจริต

2.4 การสร้างมาตรการควบคุมภายในที่เหมาะสมของภาคเอกชน เพื่อป้องกันการส่งเสริมการขายยาที่ไม่เหมาะสม โดยให้สำนักงาน ป.ป.ช. ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับมาตรการควบคุมภายในที่เหมาะสมตามมาตรา 123/5 รวมถึงกฎหมายอื่นที่มีความเกี่ยวข้องให้แก่บริษัทผู้จำหน่ายยาให้เกิดความรู้ความเข้าใจและนำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง

ทั้งนี้ ข้อเสนอแนะดังกล่าวข้างต้นมุ่งเสนอต่อสถานพยาบาลของทางราชการตามที่กระทรวงการคลังกำหนด ซึ่งครอบคลุมถึงการรักษาพยาบาลตามสิทธิสวัสดิการข้าราชการ และการรักษาพยาบาลตามสิทธิสวัสดิการพนักงานส่วนท้องถิ่นเท่านั้น หากข้อเสนอแนะดังกล่าวข้างต้นเป็นประโยชน์ อาจนำไปใช้กับสถานพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมโครงการในระบบโครงการประกันสังคม และระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าด้วยก็ได้

ในส่วนผลการติดตาม (ระยะที่ 1) การดำเนินการตามมาตรการป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2563 โดยกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนภาครัฐและภาคเอกชน ได้มีการดำเนินการพร้อมทั้งมีการสร้างความร่วมมือของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการดำเนินการตามข้อเสนอแนะดังกล่าวอย่างจริงจัง ดังนี้

1) กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต กระทรวงสาธารณสุข ได้ดำเนินการจัดประชุมชี้แจงรับฟังความคิดเห็นประเด็นการรับสนับสนุนจากบริษัทยาของโรงพยาบาลในและนอกสังกัดกระทรวงสธารณสุข เพื่อส่งเสริมธรรมาภิบาลระบบยา ซึ่งได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง เกณฑ์จริยธรรมการจัดซื้อจัดหาและการส่งเสริมการขายยาและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาของกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2564

2) องค์การเภสัชกรรม ได้มีคำสั่งองค์การเภสัชกรรม ที่ 23/2561 ลงวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2561 เรื่อง ยกเลิกข้อบังคับองค์การเภสัชกรรมว่าด้วยการจ่ายเงินสนับสนุนกิจกรรมภาครัฐ เพื่อให้สอดคล้องและเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องมาตรการป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ

3) สมาคมผู้วิจัยและผลิตเภสัชภัณฑ์ (PReMA) ได้ดำเนินการแก้ไขเกณฑ์จริยธรรมสำหรับช่องทางสถานพยาบาล ฉบับที่ 11.1 พ.ศ. 2561 โดยเพิ่มเติมข้อความว่า “ข้อ 2.6 ห้ามมิให้มีการจ่ายเงินเข้าบัญชีใด ๆ ของสถานพยาบาลของรัฐ หากว่าการจ่ายเงินดังกล่าว มีวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้องหรือมีความเชื่อมโยงกับการจัดซื้อจัดจ้างของสถานพยาบาลรัฐนั้น”

โดยศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต กระทรวงสาธารณสุข ได้มีการแจ้งเวียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด/ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์/ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั่วไป/ผู้อำนวยการสำนักงานเขตสุขภาพที่ 1 – 12 /ประธานชมรมผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชน เพื่อรับทราบ

4) สมาคมไทยอุตสาหกรรมผลิตยาแผนปัจจุบัน(Thai Pharmaceutical Manufacture Association : TPMA) ได้แสดงเจตนารมณ์สนับสนุนมาตรการป้องกันการทุจริตในกระบวนการเบิกจ่ายยาฯ ตามกำหนดหลักเกณฑ์การจัดซื้อยา ข้อที่ 1 พร้อมทั้งได้จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อความเข้าใจร่วมกัน เรื่อง การปฏิบัติตามหลักเกณฑ์จริยธรรมในการส่งเสริมการขายยาของสมาคมไทยอุตสาหกรรมผลิตยาแผนปัจจุบัน 

ในส่วนของข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ระยะที่ 2 เสนอคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 และได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามมาตรการตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. เสนอ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้บรรลุถึงเจตนารมณ์ของมาตรการป้องกันการทุจริตจากกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการซึ่งมุ่งเน้นป้องกันการทุจริตจากการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการทั้งระบบ ไม่เพียงแต่หน่วยงานและหน่วยบริการที่สังกัดกระทรวงสาธารณสุขเท่านั้น แต่ให้หมายความรวมถึงหน่วยงานและหน่วยบริการอื่น ๆ ทั้งหมดที่ข้าราชการสามารถทำการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลได้

ดังนั้น สำนักงาน ป.ป.ช. จึงเห็นควรปรับเพิ่มรายละเอียดข้อเสนอแนะ มาตรการป้องกันการทุจริตจากกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการไปยังคณะรัฐมนตรี ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 32 คือ ให้รัฐบาลดำเนินการสั่งการให้ “หน่วยงานและหน่วยบริการ ซึ่งข้าราชการสามารถเบิกจ่ายยาได้ตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาล” อาทิ โรงพยาบาลในมหาวิทยาลัยและโรงเรียนแพทย์ของคณะแพทยศาสตร์หรือวิทยาลัยแพทยศาสตร์ต่าง ๆ สังกัดกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สำนักการแพทย์ สังกัดกรุงเทพมหานคร สำนักงานแพทย์ใหญ่ สังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมแพทย์ทหารบก สังกัดกองทัพบก กรมแพทย์ทหารเรือ สังกัดกองทัพเรือ กรมแพทย์ทหารอากาศ สังกัดกองทัพอากาศ ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ สังกัดกรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นต้น กำหนดหลักเกณฑ์จริยธรรมในการจัดซื้อจัดหาและการส่งเสริมการขายยาและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาให้มีรายละเอียดในลักษณะเดียวกับของกระทรวงสาธารณสุข หรือดำเนินการอื่นใดตามภารกิจ บทบาท อำนาจหน้าที่

เพื่อให้มาตรการป้องกันการทุจริตจากกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการสามารถบังคับใช้ได้ครอบคลุมกับทุกหน่วยงานและหน่วยบริการ ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบไปแล้ว เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 และได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลักรับเรื่องไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามมาตรการตามที่สำนักงาน ป.ป.ช. เสนอ ผลการติดตาม ระยะที่ 2 หน่วยงานและหน่วยบริการบางแห่งในสังกัด 1) กระทรวงกลาโหม 2) กระทรวงการอุดมศึกษา ฯ 3) กระทรวงศึกษาธิการ และ 4) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานผลว่าได้นำหลักเกณฑ์จริยธรรมในการจัดซื้อจัดหาและการส่งเสริมการขายยาและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาของกระทรวงสาธารณสุขมาปรับใช้กับหน่วยงานและหน่วยบริการในสังกัด แต่มิได้กำหนดหลักเกณฑ์จริยธรรมในการจัดซื้อจัดหาและการส่งเสริมการขายยาและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาเพื่อบังคับใช้เฉพาะในหน่วยงานและหน่วยบริการในสังกัด ในส่วนของกระทรวงยุติธรรม (รพ.ราชทัณฑ์) อยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดหลักเกณฑ์จริยธรรม

ถึงแม้ว่าหน่วยงานข้างต้น จะดำเนินการตามภารกิจ บทบาทและอำนาจหน้าที่ และนำหลักเกณฑ์จริยธรรมในการจัดซื้อจัดหาและการส่งเสริมการขายยาและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยาให้มีรายละเอียดในลักษณะเดียวกับของกระทรวงสาธารณสุข แล้วก็ตาม แต่อาจไม่สามารถบังคับใช้ได้ครอบคลุมกับทุกหน่วยงานและหน่วยบริการ ซึ่งข้าราชการสามารถเบิกจ่ายยาได้ตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาล จึงควรดำเนินการให้ครอบคลุมถึงข้อเสนอแนะตามมาตรการป้องกันการทุจริตจากกระบวนการเบิกจ่ายยาตามสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ