5 ปมร้อน 'ตึก+เว็บแอป+หุ้น' ลุ้นผลสอบ สปส. คุ้มค่า-เอื้อใคร?

อย่างไรก็ดี “วอเตอร์เกทฯ” ได้ขายอาคารดังกล่าวให้แก่เครือ “แคส แคปปิตอล” ไปรีโนเวทต่อ ซึ่งไม่ได้เป็นการซื้อขายโดยตรงกับ สปส.แต่อย่างใด
ปมร้อนกองทุนประกันสังคม ของสำนักงานประกันสังคม(สปส.) นำเงินราว 1 หมื่นล้านบาท ไปตั้ง “กองทุนทรัสต์” โดย 3 พันล้านบาทไปลงทุนในต่างประเทศ อีกเฉียด 7 พันล้านบาท ไปซื้อ “บริษัท” ที่มีหนี้สินราว 2 พันล้านบาท เพื่อให้ได้มาซึ่งอาคาร Skyy9 บริเวณพระราม 9 ถ.อโศก-ดินแดง
กรุงเทพธุรกิจ นำเสนอไปแล้วว่า “กองทุนทรัสต์” ที่อนุกรรมการที่ปรึกษาการลงทุนสินทรัพย์นอกตลาด ตัดสินใจใช้งบเฉียด 7 พันล้านบาทไปซื้อ “บริษัท” ซึ่งมีหนี้ราว 2 พันล้านบาท และได้อาคาร Skyy9 มาด้วย คือ บริษัท ไพร์ม ไนน์ เรียลเอสเตท จำกัด โดยมีบริษัท ไพร์ม เซเว่น จำกัด ผู้ถือหุ้นใหญ่ ขณะที่ผู้ถือหุ้นใหญ่สุดใน “ไพร์ม เซเว่น” คือ กองทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุนไพร์ม แอสเซท โดย บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะทรัสตี ซึ่งเป็นกองทุนของประกันสังคม
เงื่อนปมนี้กำลังอยู่ระหว่างตรวจสอบของคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงของกระทรวงมหาดไทย ที่มีปลัด มท.เป็นประธาน ขีดเส้น 90 วัน ก่อนรายงานต่อ “มท.1” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ต้องรอวัดฝีมือว่าจะมีผลออกมาเป็นอย่างไร
โดยกระบวนการการซื้อตึกดังกล่าว มี 5 บริษัทมาเกี่ยวข้อง ขั้นตอนการดำเนินงาน กองทุนทรัสต์ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อซื้อตึก Skyy9 นั้น ใช้ MFC เป็นทรัสต์เมเนเจอร์ ใช้ KTAM เป็นทรัสตี ใช้ JLL เป็นผู้จัดการตึก และใช้ผู้ประเมินอิสระ 2 บริษัท เป็นผู้ประเมินราคาตึก ซึ่ง “กองทุนทรัสต์” ที่ KTAM เป็นทรัสตีนั้น พบว่า เข้าถือหุ้นใหญ่สุดใน “ไพร์ม เซเว่น” ที่มีหนี้สินราว 2 พันล้านบาท เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุดใน “ไพร์ม ไนน์ฯ” เจ้าของอาคาร Skyy9 ส่วน 2 ผู้ประเมินอิสระของ สปส.ก่อนลงทุนซื้อบริษัทที่ครอบครองอาคาร Skyy9 ดังกล่าวนั้น กรุงเทพธุรกิจ พบว่า คือ บริษัท ซีพีเอ็ม แคปปิทัล จำกัด ที่คำนวณมูลค่าปัจจุบันตึกดังกล่าว 7,407 ล้านบาท วิเคราะห์มูลค่าต้นทุนตึกปัจจุบัน 7,808.35 ล้านบาท และบริษัท เอ็ดมันด์ ไต แอนด์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด คำนวณมูลค่าปัจจุบันตึกดังกล่าว 7,290 ล้านบาท วิเคราะห์มูลค่าต้นทุนตึกปัจจุบัน 8,206.66 ล้านบาท
ประเด็นที่น่าสนใจในเรื่องราวข้างต้น มีข้อสังเกตบางประการที่ สปส.ยังไม่มีคำตอบ หรือยังไม่มีคำอธิบายให้กระจ่างชัดต่อสาธารณชน ดังนี้
1.การตั้ง “กองทุนทรัสต์” ของ สปส.เพื่อไปลงทุนสินทรัพย์นอกตลาด วงเงินราว 1 หมื่นล้านบาท โดย 3 พันล้านบาทไปลงทุนต่างประเทศ และเฉียด 7 พันล้านบาทไปลงทุนซื้อบริษัท ไพร์ม เซเว่น จำกัด เพื่อไปลงทุนซื้อบริษัท เอจีอาร์อี 101 จำกัด (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ไพร์ม ไนน์ เรียลเอสเตท จำกัด) ซึ่งมีหนี้สินราว 2 พันล้านบาท เพื่อให้ได้มาซึ่งอาคาร Skyy9 คุ้มค่าคุ้มราคาหรือไม่ เหตุใดถึงไม่ซื้อแค่อาคารเพื่อบริหารจัดการเพียงอย่างเดียว
แม้แต่ วรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. ยังขุดงบการเงิน มาตั้งข้อสังเกตดีลตึก SKYY 9 คือ ดีลที่กองทุนประกันสังคม ลงทุนในตึกร้างที่พึ่งรีโนเวทเสร็จ ยังไม่มีผู้เช่ามาก่อน แต่ยินดีจะจ่าย 2 เท่าของต้นทุนที่สร้างตึก
วรภพ ระบุว่า ลองมาไล่ ประเด็น การลงทุนในตึก SKYY9 ของกองทุนประกันสังคม ไร่เรียง แล้วเห็นความผิดปกติหลายอย่างมาก ๆ ถ้าอธิบายให้สั้นที่สุด คือ กองทุนประกันสังคม ควักเงินของผู้ประกันตน มาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสูงมาก แต่กลับยินดีที่จะซื้อแพง (หรือ Premium) แพงเกินความเสี่ยงของการลงทุนปกติที่ควรจะเป็น
2.กระบวนการขั้นตอนลงทุนซื้ออาคาร Skyy9 ดังกล่าว 2 สส.พรรคประชาชน (ปชน.) นำโดย “ไอซ์” รักชนก ศรีนอก สส.กทม. และ “เนม” สหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี ที่เป็นตัวตั้งตัวตีเปิดโปงเรื่องราวข้างต้น ตั้งคำถามว่า มี 2 ตัวละครสำคัญที่เคยเป็น “เด็กหน้าห้อง” อดีตบิ๊กเนมการเมืองเข้าไปเกี่ยวพันการลงทุนดังกล่าว โดยใช้ชื่อย่อว่า “นาย ธ.” และ “นายรู”
ต่อมากรุงเทพธุรกิจตรวจสอบพบว่า “นาย ธ.” คือ “ธีระวิทย์ วงศ์เพชร” อดีตคณะทำงานที่ปรึกษา รมว.แรงงาน (สุชาติ ชมกลิ่น) และเคยเป็นคณะทำงานที่ปรึกษา รมว.แรงงาน (พิพัฒน์ รัชกิจประการ) โดยเขายืนยันว่า ถูกเสนอจากบอร์ดใหญ่ประกันสังคมให้เข้าไปนั่งเป็นอนุกรรมการที่ปรึกษาการลงทุนสินทรัพย์นอกตลาดจริง แต่ไม่มีอำนาจหรือบทบาทในการตัดสินใจ เพียงแค่เข้าไปร่วมประชุม เพื่อรับฟัง และรับทราบการลงทุนเท่านั้น
ส่วน “นายรู” คือ “ธีระพันธุ์ พืชผล” ที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) สำนักงานแรงงานในประเทศสิงคโปร์ โดยเคยมีตำแหน่งเป็นนักวิชาการแรงงานชำนาญการ กองบริหารการลงทุน สปส. เข้าไปเป็นอนุกรรมการ และผู้ช่วยเลขานุการในอนุกรรมการที่ปรึกษาการลงทุนสินทรัพย์นอกตลาด ทั้งนี้เมื่อ 12 มี.ค.ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวพยายามติดต่อไปยังสำนักงานแรงงานในสิงคโปร์ เพื่อต้องการสอบถามข้อเท็จจริง “ธีระพันธุ์” ตามเบอร์ติดต่อ 65 6224 9940 และ 65 6224 1797แต่ไม่สามารถติดต่อได้ ดังนั้น คงต้องรอการชี้แจงข้อเท็จจริงอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี “สุชาติ ชมกลิ่น” รมช.พาณิชย์ (ปัจจุบันคือ รมว.แรงงาน) ให้สัมภาษณ์ และแถลงต่อสื่อหลายครั้ง ยืนยันข้อเท็จจริงว่า ไม่เคยทราบเรื่อง และไม่เคยก้าวก่าวเกี่ยวกับการลงทุนของบอร์ดประกันสังคม เพราะรัฐมนตรีไม่มีสิทธิเข้าไปสั่งการได้ ยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในดีลการซื้ออาคาร Skyy9 และไม่เคยส่ง “หน้าห้อง” ไปเป็นหนึ่งในอนุกรรมการที่ปรึกษาสินทรัพย์นอกตลาด ซึ่งมีส่วนตัดสินใจในการลงทุนต่าง ๆ แต่อย่างใด ทั้งนี้เมื่อ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา “สุชาติ” มอบหมายทนายความไปฟ้อง “ไอซ์ รักชนก-เนม สหัสวัต” 2 สส.ปชน. ในฐานหมิ่นประมาทแล้ว จากการเปิดโปงกล่าวหาดังกล่าวส่อเข้าข่ายเป็นความเท็จ และเตรียมร้องสำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อเอาผิดจริยธรรมร้ายแรงอีกด้วย
3.มีเครือข่าย“ลูกชาย”ของ“บิ๊กเนมการเมือง”เข้าไปเกี่ยวข้องในกระบวนการซื้อขายอาคาร Skyy9 ครั้งนี้จริงหรือไม่ กรุงเทพธุรกิจตรวจสอบพบว่า ตามไทม์ไลน์การซื้อขายตึกดังกล่าว เกิดขึ้นระหว่างปี 2561-2565 มีการเปลี่ยนมือเจ้าของ 3 คน ได้แก่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด มหาชน (BAM) ขายต่อด้วยราคาราว 1 พันล้านบาท ให้กับบริษัท วอเตอร์เกท พาวิลเลี่ยน จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในเครือข่าย “พร้อมทวีสิทธิ์-พร้อมพัฒน์” จากข้อมูลพบว่า ช่วงการซื้อขายตึกดังกล่าวนั้น ปรากฏชื่อคนสกุล “พร้อมทวีสิทธิ์” เข้าไปเป็นกรรมการ และผู้ถือหุ้นด้วย
ต่อมาในปี 2562 “วอเตอร์เกทฯ” ขายอาคารดังกล่าวต่อด้วยราคาราว 2,175 ล้านบาทให้แก่บริษัท เอจีอาร์อี 101 จำกัด ในเครือ “แคส แคปปิตอล” ก่อนนำมารีโนเวทใหม่ในชื่อ Cas Centre หลังจากนั้นในปี 2565 ได้ขายต่อให้กับ “กองทุนทรัสต์” ของ สปส. ซึ่งมีรายงานว่า สปส.ใช้งบราว 7 พันล้านบาทได้มาซึ่งอาคารนี้ ก่อนเปลี่ยนชื่อเป็น Skyy9 ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี “วอเตอร์เกทฯ” ได้ขายอาคารดังกล่าวให้แก่เครือ “แคส แคปปิตอล” ไปรีโนเวทต่อ ซึ่งไม่ได้เป็นการซื้อขายโดยตรงกับ สปส.แต่อย่างใด นอกจากนี้ “วอเตอร์เกทฯ” ยังมิได้ถูกร้องเรียน หรือถูกกล่าวหาในเรื่องการใช้งบประมาณของกองทุนประกันสังคมในขณะนี้ด้วย
ยังไม่นับการใช้งบประมาณที่ยังถูกตั้งคำถามอีกอย่างน้อย 2 กรณี คือ
1.กรณีการจัดซื้อจัดจ้างของสำนักงาน สปส. อย่างน้อย 3 โครงการที่ส่อมีปัญหา ถูกตั้งคำถามถึงความไม่คุ้มค่าของการใช้งบประมาณรวมกว่า 1.5 พันล้านบาท เช่น โครงการจัดซื้อจัดจ้าง “เว็บแอป” วงเงิน 848 ล้านบาท โครงการจัดซื้อแอป “SSO+” วงเงิน 275 ล้านบาท การจ้างทำ “ปฏิทิน” รอบ 10 ปีหลัง (2556-2566) มูลค่ารวมกว่า 580 ล้านบาท
2.ว่ากันว่าในช่วง “บิ๊กเนมการเมือง” บางคนกุมอำนาจใน “กระทรวงแรงงาน” มีการสั่งการหลังฉากให้นำเงิน “กองทุนประกันสังคม” ไปลงทุนหุ้น “เอกชน” บางแห่งในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ซึ่งมี “นอมินี” เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ก่อนจะนำเงินดังกล่าวไป “ปั่นหุ้น” ทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์บางบริษัท “สูงขึ้น” แบบไม่ทราบสาเหตุ ส่งผลให้ “บิ๊กเนมการเมือง” ร่ำรวยขึ้นจากเรื่องนี้อย่างมาก
สุดท้ายบทสรุปจะเป็นอย่างไร คงต้องรอผลการสอบสวนจากคณะกรรมการสอบสวนฯ มท.ต่อไป