ย้อนตำนานปมหุ้น จาก ‘ทักษิณ’ ถึง ‘แพทองธาร’ ตั๋ว PN 4.4 พันล้านโผล่

ย้อนตำนานปมหุ้น จาก ‘ทักษิณ’ ถึง ‘แพทองธาร’ ตั๋ว PN 4.4 พันล้านโผล่

แม้ว่า “วิโรจน์” จะไม่ระบุว่า “เจ้าสำนัก” ที่กล่าวถึงเป็นใคร แต่หลายคนอาจตีความได้ว่า น่าจะหมายถึง “ทักษิณ ชินวัตร”

KEY

POINTS

  • ย้อนป

ปมร้อนตั๋วสัญญาใช้เงิน (ตั๋ว PN) กว่า 4.4 พันล้านบาท ของ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกขึ้นเขียงอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาฯ อยู่ในเวลานี้ ถูกฝ่ายค้านนำโดย “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ซักฟอกว่าส่อมีพฤติการณ์ทำนิติกรรมอำพราง เข้าข่ายหลีกเลี่ยงภาษีอย่างน้อย 218.7 ล้านบาท 

โดยประเด็นการแจ้งถือครองตั๋ว PN จำนวน 9 ฉบับของ “คนในครอบครัว” ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน และหนี้สินของ “แพทองธาร” กรณีเข้ารับตำแหน่งนายกฯ เมื่อปี 2567 ที่ผ่านมา มี 5 บุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง “วิโรจน์” ซักฟอกว่าต้องเสียภาษี อย่างน้อย 218.7 ล้านบาท ดังนี้

1.น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ (พี่สาว) 4 ฉบับ รวมเป็นเงิน 2,388,724,095.42 บาท ชำระค่าหุ้นบริษัท พี.ที.คอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด บริษัท เอสซี ออฟฟิซ พลาซ่า จำกัด และบริษัท เอส ซี เค เอสเทต จำกัด โดยจะต้องเสียภาษีอย่างน้อย 118.9 ล้านบาท

2.นายพานทองแท้ ชินวัตร (พี่ชาย) 1 ฉบับ เป็นเงิน 335,420,541 บาท ชำระค่าหุ้น บริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ต้องเสียภาษีอย่างน้อย 16.3 ล้านบาท 

3.นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ (มีศักดิ์เป็นลุง เพราะเป็นพี่ชายคุณหญิงพจมาน) 2 ฉบับ เป็นเงิน 1,315,460,000 บาท ชำระค่าหุ้น บริษัท โอเอ ไอ แมนเนจเม้นท์ จำกัด และบริษัท บี.บี.ดี. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ต้องเสียภาษีอย่างน้อย 65.3 ล้านบาท

4.นางบุษบา ดามาพงศ์ (มีศักดิ์เป็นป้าสะใภ้ เพราะเป็นภริยานายบรรณพจน์) 1 ฉบับ เป็นเงิน 258,400,000 บาท ชำระค่าหุ้น บริษัท บี.บี.ดี. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ต้องเสียภาษีอย่างน้อย 12.4 ล้านบาท

5.คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ (มารดา) 1 ฉบับ เป็นเงิน 136,517,701.60 บาท ชำระค่าหุ้น บริษัท โอเอไอ คอนซัลแต้นท์ แอนด์ แมนเนจเม้นท์ จำกัด ต้องเสียภาษีอย่างน้อย 5.8 ล้านบาท

อย่างไรก็ดีเงื่อนปมดังกล่าวถูก “วิโรจน์” อภิปรายตอนหนึ่งพาดพิงว่า  เจตนาของ “แพทองธาร” อาจไม่ได้ต้องการหลีกเลี่ยงภาษีกว่า 218 ล้านบาท แต่ถ้าพิจารณาจริงๆ แล้ว “แพทองธาร” มีพฤติการณ์ยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินในจักรวาลชินวัตร ถ้าติดตามนวนิยายจีนกำลังภายใน นี่คือ เคล็ดวิชา “เคลื่อนย้ายจักรวาล” ที่เคยทำมาแล้วเมื่อปี 2544 ในตอนนั้น “เจ้าสำนัก” ไม่ใช่แค่ย้ายทรัพย์สิน แต่ยังซุกหุ้นไปยังคนรับใช้ ถ่ายเททรัพย์สินให้แก่คนขับรถ คนรับใช้ แต่ในยุคนั้นอาจทำได้ ไม่ว่ากัน เพราะยังไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับการเสียภาษีรับให้ แต่หลัง 1 ก.พ.2559 จะต้องเสียภาษีรับให้ด้วย

แม้ว่า “วิโรจน์” จะไม่ระบุว่า “เจ้าสำนัก” เป็นใคร แต่หลายคนอาจตีความได้ว่า พฤติการณ์ลักษณะดังกล่าว ซึ่งศาลฎีกา และศาลรัฐธรรมนูญ เคยมีคำวินิจฉัยตัดสิน คดีถึงที่สุดไปแล้ว น่าจะหมายถึง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ บิดา “แพทองธาร” นายกฯ คนปัจจุบันหรือไม่?

โดยในคดี “ซุกหุ้น” ภาคแรกนั้น “ทักษิณ-คุณหญิงพจมาน” ก่อนจะโลดแล่นบนถนนการเมืองอย่างเต็มตัว ได้โอนหุ้นในส่วนของตนเองให้แก่ “คนรับใช้-คนขับรถ-คนรักษาความปลอดภัย” ถือไว้รวมมูลค่ากว่า 1.1 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 1 ใน 4 ของมูลค่าหุ้นที่ “ทักษิณ-คุณหญิงพจมาน” ถือไว้ ต่อมาเมื่อ “ทักษิณ” เข้าเล่นการเมืองเมื่อปลายทศวรรษ 2530 ได้เริ่มทยอยโอนหุ้นจาก “คนรับใช้-คนขับรถ-คนรักษาความปลอดภัย” ให้แก่ “ลูก-ญาติพี่น้อง” กระทั่งเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาล “ชวน หลีกภัย 1” และรัฐบาล “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ

แต่ประเด็นปัญหามาเกิดก่อนการเลือกตั้งใหญ่ในปี 2544 ที่ “ทักษิณ” ก่อร่างสร้างพรรคไทยรักไทยแล้ว มีบุคคลยื่นคำร้องไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สินของ “ทักษิณ” กรณีเป็นรองนายกฯ สมัยรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ส่อเข้าข่ายยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จหรือไม่ เพราะในช่วงเวลาดังกล่าว มีหุ้นบางตัวที่ยังปรากฏชื่อ “คนรับใช้-คนขับรถ” ถือครองหุ้นอยู่ คิดเป็นมูลค่านับพันล้านบาท แต่กลับไม่มีการแจ้งต่อ ป.ป.ช.

ต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า “ทักษิณ” จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ และปกปิดข้อเท็จจริงอันควรแจ้งให้ทราบ พร้อมกับส่งศาลรัฐธรรมนูญ (รัฐธรรมนูญ 2540 ขณะนั้นบัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญ มีอำนาจหน้าที่วินิจฉัยคดียื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ) วินิจฉัย ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งปี 2544

อย่างไรก็ดีแม้จะมีอุปสรรคขวากหนามเรื่องนี้ แต่ยี่ห้อ “ทักษิณ” มีกระแสสูงอย่างมากในสังคม ด้วยสารพัดนโยบายหาเสียงขณะนั้น ส่งผลให้พรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้ง และผลักดันให้ “ทักษิณ” ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯ ครั้งแรกเมื่อปี 2544 ต่อมาในเดือนส.ค.2544 “ทักษิณ” ให้ถ้อยคำแก่ศาลรัฐธรรมนูญ ด้วยวลีในตำนาน “บกพร่องโดยสุจริต” ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 8 ต่อ 7 เสียงว่า “ทักษิณ” ไม่จงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญอย่างหนักในช่วงเวลาดังกล่าว

จบคดี “ซุกหุ้น” ภาคแรกไปแล้ว ก็ยังมีประเด็น “ซุกหุ้น” ภาคสองในกาลต่อมา ซึ่งนำไปสู่การตรวจสอบในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในคดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท

ประเด็นถัดมา การถือตั๋ว PN 9 ฉบับ มูลค่ากว่า 4.4 พันล้านบาทดังกล่าวของ “แพทองธาร” ซึ่งแจ้งไว้ในส่วนของ “หนี้สิน” ซึ่งบุคคลที่อยู่ในตั๋ว PN ดังกล่าวทั้ง 5 คนล้วนเป็น “มารดา-พี่ชาย-ญาติใกล้ชิด” ของ “แพทองธาร” ทั้งสิ้น อาจเปรียบเทียบได้กับกรณี “ทักษิณ” ยื่นบัญชีทรัพย์สินช่วงเป็นนายกฯ 2 สมัยในปี 2544 และปี 2548 มีการ “ให้กู้ยืม” แก่ “บุตรชาย-น้องสาว” กว่า 5 พันล้านบาท แบ่งเป็น

กรณีเข้ารับตำแหน่งนายกฯ สมัยแรก เมื่อปี 2544 “ทักษิณ” แจ้งว่ามีเงินให้กู้ยืม 429.2 ล้านบาท โดยจำนวนนี้เป็นของ “พานทองแท้” 409 ล้านบาท ขณะที่ “คุณหญิงพจมาน” มีเงินให้กู้ยืม 6,787,638,193 บาท โดยในจำนวนนี้เป็นของ “พานทองแท้” 5,056,348,840 บาท

กรณีพ้นตำแหน่ง รมว.ศึกษาธิการ (สมัยรัฐบาล พล.อ.ชวลิต) ครบ 1 ปี “ทักษิณ” แจ้งว่ามี เงินให้กู้ยืม 429.2 ล้านบาท ได้แก่ “พานทองแท้” จำนวน 409 ล้านบาท และ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (น้องสาว อดีตนายกฯ เมื่อปี 2554) จำนวน 20 ล้านบาท

กรณีเข้ารับตำแหน่งนายกฯ สมัยที่ 2 ปี 2548 “ทักษิณ” แจ้งว่ามี เงินให้กู้ยืม 409.2 ล้านบาทแก่ “พานทองแท้” ส่วน “คุณหญิงพจมาน” มีเงินให้กู้ยืม 3 รายได้แก่ บริษัท มิลเลนเนียม เฮ้าส์ พานทองแท้ ชินวัตร ประทักษ์ ลิขิตเลอทรวง และกัลยารัตน์ พนิชย์สกุล รวมมูลค่า 2,623 ล้านบาท โดยหากนับเฉพาะ “พานทองแท้” มีหนี้คงเหลือ 2,595 ล้านบาท (จากยอดเดิมเมื่อปี 2544 กว่า 5 พันล้านบาท)

แต่ที่น่ามหัศจรรย์คือ ผ่านไปราว 1 ปี เมื่อปี 2549 ที่ “ทักษิณ” แจ้งกรณีพ้นตำแหน่งนายกฯ ครบ 1 ปี แจ้งว่า ไม่มีเงินให้กู้ยืม ส่วน “คุณหญิงพจมาน” มีเงินให้กู้ยืมจำนวน 28 ล้านบาท เท่ากับว่า เงินที่ “ทักษิณ” ให้กู้ยืมแก่ “พานทองแท้” 409.2 ล้านบาท และ “คุณหญิงพจมาน” ที่เหลือราว 2,595 ล้านบาท หายไปหมดแล้ว

ทั้งหมดคือ ข้อมูลเกี่ยวกับการให้กู้ยืมเงิน และข้อมูลเรื่องหุ้นของ “ทักษิณ” ตั้งแต่ยุครัฐบาลไทยรักไทยยังครองอำนาจ และมีกระแสสูง มีบทบาททางการเมืองสำคัญในประเทศนี้ โดยเรื่องราวดังกล่าวมีบทสรุป และคำวินิจฉัยของศาลอันถึงที่สุด รวมถึงเผยแพร่แก่สาธารณะไปหมดแล้ว

ส่วนเรื่อง “เจ้าสำนัก” ที่ “ฝ่ายค้าน” นำมากล่าวอ้างเทียบเคียงกับกรณีตั๋ว PN 9 ฉบับ 4.4 พันล้านบาทของ "แพทองธาร" นั้น จะใช่ “ทักษิณ” หรือไม่ คงมีแต่ “วิโรจน์” เท่านั้นที่ต้องชี้แจงข้อเท็จจริงกันต่อไป

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์