‘สุรเชษฐ์’ ชำแหละ 2 ปมซูเปอร์ดีล 2 แสนล. ‘ทุนใหญ่’ เพื่อน ‘นายใหญ่’

‘สุรเชษฐ์’ เปิดปม 2 ซูเปอร์ดีล 2 แสนล้าน พาดพิง ‘นายใหญ่’ โยง ‘นายน้อย’ รับรู้ ทั้งประเด็นรถไฟความเร็วสูง 3 สนามบิน 1.49 แสนล้าน-แก้สัมปทานทางด่วนอีก 33 ปี 3.4 หมื่นล้าน
เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2568 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยเมื่อเวลาประมาณ 18.30 น. นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) ได้อภิปรายถึงประเด็น “ซูเปอร์ดีล” เอื้อ “นายทุนใหญ่” รวม 2 ประเด็น ซึ่งเป็นการอภิปรายต่อเนื่องจากรัฐบาลชุดเดิม จนถึงรัฐบาลชุดนี้ โดยอ้างว่ามีการตัดสินใจสำคัญจากนายใหญ่ และนายน้อย เพื่อเอื้อประโยชน์เพิ่มเติม ภายใต้รัฐบาล น.ส.แพทองธาร โดย 2 ซูเปอร์ดีลเอื้อนายทุนใหญ่ด้านคมนาคม เพราะทั้ง 2 เรื่องไม่ใช่กระทรวงคมนาคมลำพัง แต่พัวพันกระทรวงการคลังไม่น้อย และดีลใหญ่ระดับนี้ต้องเข้า ครม.ที่มีนายกฯเป็นประธาน และมีเพียงนายกฯ กับพ่อนายกฯเท่านั้นที่ตัดสินใจได้
นายสุรเชษฐ์ เริ่มอภิปรายซูเปอร์ดีลแรก วงเงิน 1.49 แสนล้านบาท ในโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน สรุปได้ว่า โครงการนี้มีนายทุนใหญ่ ซึ่งเป็นเพื่อนนายใหญ่ คว้าสัมปทานไปตั้งแต่ 24 ต.ค. 2562 แต่ผ่านมาราว 5 ปีครึ่ง ยังแทบไม่ได้ดำเนินโครงการนี้ โดยมีข่าวในแวดวงธุรกิจมากมายว่า ทุนใหญ่ยังไม่อยากเริ่มงานนี้ เพราะหนี้เต็มเพดาน ขาดสภาพคล่องทางการเงินหนักมาก จึงอยากแก้สัญญาเพื่อแก้สภาพคล่องก่อนค่อยเริ่ม
นายสุรเชษฐ์ กล่าวว่า ทุนใหญ่ประมูลแล้ว เซ็นสัญญาแล้ว หากไม่ทำตามควรต้องลงโทษ ต้องไปว่ากัน ไม่ใช่มาร่วมมือกันระหว่าง นายใหญ่ และทุนใหญ่ หาประโยชน์ส่วนเพิ่มจากการแก้สัญญา เอื้อนายทุนที่เรียกว่า ทุจริตเชิงนโยบาย โดยสัญญาที่ลงนามกันเมื่อ 24 ต.ค. 2562 เป็นรูปแบบเรียกว่า PPP NetCost หรือ เอกชนรับความเสี่ยง ไม่ใช่ GovCost ที่รัฐรับความเสี่ยง
โดยความเสี่ยงหลักคือผู้โดยสารมีคนมาใช้มากน้อยแค่ไหน ถ้าคนใช้มากก็กำไรมาก ถ้าคนน้อยก็กำไรน้อย หรือขาดทุน เอกชนต้องแบกความเสี่ยงเพราะเป็นสัญญา High Risk High Return คำว่า PPP หรือการร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน แต่ไม่ใช่รัฐช่วยไร้ขอบเขต ทั้งคู่ต้องปฏิบัติตามสัญญา ไม่ใช่ร่วมมือกันแก้สัญญา เพราะหากแก้สัญญา เปลี่ยนเงื่อนไข งวดเงินใหม่ ต้องถามว่าทำไมไม่ประมูลใหม่ เพราะตอนประมูลกันมา บริษัทชนะเขาก็ชนะด้วยเงื่อนไขเหล่านี้ หากเปลี่ยนเงื่อนไข ผู้ชนะการประมูลอาจเปลี่ยนไปด้วย นี่สัญญารัฐ ไม่ใช่สัญญาปากเปล่าของนายใหญ่ที่จะให้ใคร เงื่อนไขใดเปลี่ยนได้ตลอด
นายสุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า สัญญานี้ความเสี่ยงมาก รัฐต้องอุดหนุนมาก โดยปิดดีลไปแล้วตั้งแต่ปี 2562 ตามเงื่อนไขในสัญญา รัฐต้องอุดหนุนเพียบ ทั้งอุดหนุนเงินให้เอกชน 1 แสนกว่าล้านบาท เพราะโครงการนี้ขาดทุนทางการเงิน แน่นอนว่ารัฐต้องเทเงินภาษีจากทุกคนไปอุด ทั้งยกที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ให้เอกชนพัฒนาพื้นที่เพิ่ม 50 ปี คือที่ดินแปลงงามหลายไร่บริเวณมักกะสัน กทม. และศรีราชา จ.ชลบุรี อีกทั้งรัฐต้องออกค่าเวนคืน ค่าปรับเปลี่ยนถนน สะพาน และโครงสร้างอื่น ๆ อีกมาเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงจากโครงการนี้ นี่ยังไม่นับการอุดหนุนนโยบายที่ไม่ใช่ตัวเงินอีก
แต่เมื่อเซ็น 5 ปีครึ่งทำไมยังไม่ได้เริ่ม ความประหลาดอยู่ตรงนี้ ในสัญญาร่วมลงทุน 24 ต.ค. 2562 เขียนเงื่อนไขการเพิ่มงาน หรือ NTP คำนี้สำคัญ คือหนังสือสั่งการให้เริ่มปฏิบัติงานจริง ก่อสร้างจริง กรณีนี้ รฟท.ต้องออก NTP เพื่อสั่งการให้เอกชนเริ่มงาน แต่จนวันนี้ผ่านมา 5 ปีครึ่ง รฟท.ก็ยังไม่ยอมออก NTP เลื่อนไปเรื่อย โดยอ้างว่าที่ช้า ทำให้ รฟท.ไม่กล้าออก NTP เพื่อเริ่มงานคือเงื่อนไข เอกชนคู่สัญญาได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนสำหรับโครงการเกี่ยวกับรถไฟ พูดง่าย ๆ ว่า รฟท.รอให้เอกชนได้รับบัตรส่งเสริมจาก BOI ในกำกับของนายกฯก่อน นี่คือข้ออ้างใหญ่ ข้ออ้างที่ใช้มาตลอดถึงปัจจุบันว่า สั่งการให้เอกชนเริ่มงานไม่ได้ ติดเงื่อนไขข้อนี้ ข้อที่แอบฝังเอาไว้ เพราะสัญญาอื่นไม่เขียนกัน เพราะถ้าเขียนเอกชนยื้อเวลาเริ่มงานได้ ด้วยข้ออ้าง BOI ทำให้โครงการใหญ่ระดับแสนล้านบาท ต้องเลื่อนแล้ว เลื่อนอยู่ เลื่อนต่อ
นายสุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า สำหรับกลเกม BOI ที่ฝังเล่ห์ไว้คือ อนุมัติส่งเสริมการลงทุนไปแล้วตั้งแต่ 13 มิ.ย. 2565 แต่มีการเล่นเกมยื้อเวลา เอกชนไม่ยอมส่งเอกสารตามกำหนด คือบริษัทผู้รับสัมปทาน ทำหนังสือมาขอขยายเวลาการส่งเอกสาร เพื่อประกอบการออกบัตรส่งเสริม และ BOI ในกำกับของนายกฯ ก็ใจดี ยอมกันมาเรื่อย ครั้งแรกยืดถึง 22 ก.ย. 2566 และบริษัทไม่ส่ง ครั้งที่สองยืดไปอีก 22 ม.ค. 2567 บริษัทก็ไม่ส่งอีก ครั้งที่สามยืดต่อไปอีกถึง 22 พ.ค. 2567 บริษัทก็ยังไม่ส่ง คือ BOI แกล้งไม่รู้ว่าเป้าหมายแท้จริงของเอกชน ไม่อยู่ที่เงื่อนไขของ BOI มูลค่าเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับขนาดโครงการแสนล้านบาท เอกชนใช้กลไกอื่น เช่น พ.ร.บ.EEC มาชดเชยได้ คือ BOI แกล้งไม่รู้ หรือรู้แต่เห็นแก่เพื่อนพ่อนายใหญ่ จึงแกล้ง
“นายใหญ่หรือทุนใหญ่สั่งมา รัฐมนตรีกลับลำเพราะใคร เพื่ออะไร เท่าไหร่ อันนี้ไม่ทราบ แต่ที่ทราบและพิสูจน์ได้ นายสุริยะ เคยตอบในสภาฯ เมื่อ 3 เม.ย. ตอบว่า ไม่เลื่อน ไม่แก้ แต่วันนี้จากไม่เลื่อน ไม่แก้ เป็นทั้งเลื่อน ทั้งแก้ นายน้อยรู้เรื่องกับเขาหรือไม่ว่าใครสั่งให้กลับลำ ทุนใหญ่ หรือนายใหญ่สั่งให้กลับลำ หรือนายน้อยสั่งการเอง ทำให้นายสุริยะ กลายเป็นโมฆะบุรุษไปแล้ว” นายสุรเชษฐ์ กล่าว
ทุกวันนี้ปี 2568 ก็ยังไม่ได้ค่า Airport Raillink กว่าหมื่นล้านบาท โดย รฟท.ทำ MOU กับเอกชนว่า ยังไม่จ่ายเงินหมื่นกว่าล้านบาท ไม่เป็นไร แต่ให้สิทธิเดินรถ Airport Raillink ไปพลางก่อน สรุปคือเอกชนเบี้ยวหนี้ แต่เดินรถได้ เพราะ รฟท.ทำ MOU กับเอกชน ช่วยเหลือกันไป นี่คือการเกาหลังกันระหว่างทุนใหญ่กับรัฐบาล ใช้ข้ออ้างเรื่อง BOI ทำให้โครงการเลื่อนไปเรื่อย และไม่มีแผนรองรับ ใช้ MOU เอกชนเดินรถไปพลางก่อน แม้จะยังไม่จ่ายหมื่นกว่าล้านบาทตามสัญญา
“ณ วันนี้หลักฐานกระจ่างแล้ว ท่านนายกฯต้องเลิกใจดีได้แล้ว ณ ตอนนี้หมดข้ออ้างเรื่อง BOI แล้ว รฟท.ต้องออก NTP แล้ว BOI ให้ข้อเท็จจริงล่าสุดต่อ กมธ.การคมนาคม ว่า มีผลสิ้นสุดมติการให้การส่งเสริมไปแล้วเมื่อ 26 มิ.ย. 2567 ที่ผ่านมา ปัจจุบันบริษัทยังไม่ได้ยื่นคำขอรับการส่งเสริมมาใหม่ แปลว่า หมดข้ออ้าง BOI แล้ว ในวันนี้ขอเตือน BOI ด้วยความหวังดีอีกครั้ง หากมีเอกชนมายื่นคำขอรับใหม่อีกรอบ อย่าไปเล่นด้วย เพราะหาก BOI ใจดีอีกรอบ ยอมถูกใช้เป็นเครื่องมือในการยื้อเวลา เอกชนพาเดินวนไปอีกรอบ” นายสุรเชษฐ์ กล่าว
นายสุรเชษฐ์ อภิปรายอีกว่า นาทีนี้รัฐบาลไม่เหลือข้ออ้างให้เลื่อนอีกแล้ว นายกฯต้องสั่งการให้ รฟท.ในฐานะคู่สัญญาออก NTP โดยทันที ถามว่าทำไมรัฐบาลไม่ทำเช่นนั้น เพราะรัฐบาลเอาใจทุนใหญ่ ทุนใหญ่อยากเลื่อน เขายังไม่อยากได้ NTP แล้วถามว่าทำไมทุนใหญ่ไม่อยากเลื่อน เพราะอยากแก้สัญญาให้ได้ดั่งใจก่อนค่อยทำ แก้อะไร เพื่อใคร เรื่องนี้เป็นการอนุมัติโดยมติ กพอ. 4/2567 หลัง แพทองธาร เป็นนายกฯ เห็นชอบแก้ไขสัญญา 5 ประเด็น โดยมีประเด็นการแก้ไขวิธีการชำระเงิน 149,650 ล้านบาท ปรับงวดเงินจากสร้างเสร็จค่อยจ่าย เป็นสร้างไปจ่ายไป อันนี้เรื่องใหญ่มาก เกี่ยวพันผลประโยชน์มหาศาล รวมถึงยอมให้นายทุนผ่อนชำระค่าสิทธิ์ Airport Raillink กว่าหมื่นล้านบาทที่ค้างตั้งแต่ 24 ต.ค. 2564 เป็นต้น
“นายกฯไม่ต้องปฏิเสธ รู้ว่านายกฯจะแก้สัญญาแน่ ๆ เพื่อเอื้อเอกชนเพื่อนพ่อท่าน นี่คือหลักฐานการเตรียมเงิน 1.2 แสนล้านบาทเศษ โดยมีมติ ครม. 2568 อนุมัติตั้งงบปี 2569 ตั้งงบ 1.25 แสนล้านบาท เพื่อรองรับการแก้ไขสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน จากปี 2569-2574 จากสร้างเสร็จค่อยจ่าย เป็นสร้างไปจ่ายไป ทำแบบนี้รัฐเสียหาย รัฐต้องเร่งหาเงินจ่ายเอกชนให้ไวขึ้น เพื่อช่วยเอกชนลดต้นทุน ภาระจากดอกเบี้ยเงินกู้ นี่คือการทุจริตเชิงนโยบายที่รัฐหาเงินประเคนให้นายทุนไวขึ้น” นายสุรเชษฐ์ กล่าว
นายสุรเชษฐ์ อภิปรายซูเปอร์ดีลที่ 2 วงเงินกว่า 3.4 หมื่นล้านบาท คือ การขยายสัมปทานทางด่วน กำลังมีการแก้สัญญาเพื่อหากินต่อจากสัมปทานเดิมที่มีกำไรงาม ทุนใหญ่ไม่อยากคืนรัฐ ลักษณะสำคัญของทุนใหญ่ที่หากินกับสัมปทานนี้คือ ได้สิทธิ์กินเต็มที่แล้วตามอายุของสัมปทาน แต่อยากกินต่อ จึงขอขยายสัมปทานไปเรื่อย ยิ่งสบโอกาสเจอนักการเมืองแบบตระกูลชินแล้ว นี่คือโอกาสทอง
นายสุรเชษฐ์ ระบุว่า สัมปทานกำไรงามมาก ควรกลับมาเป็นของรัฐนานแล้ว แต่รัฐไทยทำไม่ได้ซักที เพราะหาเหตุขยายสัมปทานไปเรื่อย โดยทุนใหญ่และนักการเมืองร่วมกัน ซึ่งรวมถึงทหารการเมืองด้วย ทั้งนี้ในวันที่ น.ส.แพทองธารเป็นนายกฯ หาเหตุขยายสัมปทานอีกครั้ง คือเอกชนหาทำ Double Deck หรือทางด่วนซ้อนทางด่วน คือหาสร้างเพิ่มก้อนเล็ก ๆ เพื่อหากินต่อจากทางด่วนเดิมทั้งระบบ และมีเส้นทางแจ้งวัฒนะ-บางปะอินเป็นของแถมให้ด้วย
สำหรับ Double Deck คือ ทางพิเศษชั้นที่ 2 ไม่ใช่ทางด่วนชั้นที่ 2 แต่เป็นทางพิเศษคร่อม มีระยะทางยาว 17 กิโลเมตร คร่อมทางด่วนเดิมจากงามวงศ์วาน ไปพระราม 9 ด่านเก็บค่าผ่านทาง 2 แห่ง รวมวงเงินราว 34,800 ล้านบาท ตกกิโลเมตรละ 2 พันกว่าล้านบาท ที่สำคัญคือทางขึ้น ทางลงทั้งหมด ขึ้นลงจากทางด่วนเดิม ไม่ใช่ขึ้นลงจากพื้นราบ นี่คือการเพิ่มลานจอดรถบนอากาศ คือแทบไม่ได้ช่วยอะไรให้การไหลในภาพรวมดีขึ้น เพราะสาเหตุหลักรถติดคือลงมาที่พื้นราบไม่ได้ ซึ่งโอกาสคุ้มค่ามีน้อยมาก ส่วนคุ้มทุนไม่มีเลย
“ถามว่าทำไมถึงสร้าง เพราะทุนใหญ่หาเหตุลงทุนเพิ่มเพื่อบังหน้า แต่เนื้อแท้แล้วอยากกอดก้อนเดิมที่กำไรงาม เป็น Passive Income ให้นานขึ้น หาเหตุเก็บเงินจากประชาชน เพื่อเข้ากระเป๋านายทุนในสัดส่วนที่มากขึ้นไปอีก นี่ไม่ใช่เก็บเงินเพิ่มในท่อนสร้างใหม่ แต่หาเหตุมาเจาะถุงเงิน การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เอาเงินก้อนใหญ่ประเคนนายทุน เพื่อสร้าง Double Deck ที่ขาดทุน” นายสุรเชษฐ์ กล่าว
นายสุรเชษฐ์ อภิปรายด้วยว่า รมว.คมนาคม (นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ) เห็นชอบขยายสัมปทาน 24 ก.ย. 2567 ถามว่าใครสั่ง นายใหญ่ หรือนายน้อย จึงตั้งข้อสังเกตว่า นายกฯสั่งให้ปกปิดเรื่องนี้ต่อสภาฯหรือไม่ เพราะ กมธ.ติดตามงบฯ ติดตามเรื่องนี้ ขอเอกสารร่างแก้ไขสัญญาสัมปทาน แต่ กทพ.ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลร่างสัญยาดังกล่าวได้ เมื่อการดำเนินงานตามขั้นตอน พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ เสร็จเรียบร้อย กทพ.จะนำเรียนข้อมูลข้อเท็จจริงแก่ กมธ.ต่อไป นอกจากนี้กรณีดังกล่าว ป.ป.ช.ยังดำเนินติดตามตรวจสอบด้วย เพราะส่อเอื้อประโยชน์ให้เอกชนคู่สัญญาอีกด้วย
“นายใหญ่หรือนายน้อยสั่งปิดก็ไม่มิดหรอก เพราะประเทศยังมีข้าราชการดี ๆ ส่งข้อมูลมาให้แม้จะถูกปิดบัง โดยร่างสัญญาที่นายกฯจะเซ็นสัญญาซูเปอร์ดีลสัมปทานทางด่วนดังกล่าว พบว่ามีระยะเวลานานถึง 31 มี.ค. 2601 หรืออีกกว่า 33 ปีข้างหน้า ต้องจ่ายค่าผ่านทางแก่นายทุนอีก ทวงคืนทางด่วน หยุดหาเรื่องขยายสัมปทานไปเรื่อย” นายสุรเชษฐ์ กล่าว