ส่องธุรกิจ รร.หรูเขาใหญ่ ‘นายกฯ’ ปี 66 โกย 121 ล.ก่อนโดนซักฟอก

เป็นอีกหนึ่งเงื่อนปมร้อน กรณีนายธีรัจชัย พันธุมาศ สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในข้อกล่าวหาว่าไม่มีคุณสมบัติและไม่มีความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายบริหาร ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีพฤติการณ์เอาเปรียบประชาชน เอาเปรียบสังคม เห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเองและครอบครัวอยู่เหนือผลประโยชน์ของส่วนรวม ไม่เคารพกฎหมาย ซ้ำร้ายยังเลือกใช้กฎหมายไปเล่นงานคู่ขัดแย้งทางการเมือง แต่กลับจงใจหลีกเลี่ยงไม่ตรวจสอบความผิดของตนเองและครอบครัว

โดยเขาอภิปรายตอนหนึ่งว่า ในบัญชีทรัพย์สินของนายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ระบุว่าถือหุ้นใหญ่ในบริษัท เทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ โฮเต็ล จำกัด หากพูดให้ชาวบ้านเข้าใจง่าย ๆ ก็คือ นายกรัฐมนตรีเป็นเจ้าของโรงแรมนี้ และไม่เพียงแต่เป็นเจ้าของ แต่ยังเป็นกรรมการบริษัท ตั้งแต่ปี 2556 จนกระทั่งต้องลาออกจากตำแหน่งกรรมการเพื่อมาเป็นนายกรัฐมนตรี โดยที่ดินที่โรงแรมเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ ตั้งอยู่ แบ่งออกเป็น 4 แปลง มีโฉนดทุกแปลง คือโฉนดเลขที่ 22054 76046 76047 และ 76048 อยู่ในตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา

นายธีรัจชัย ตั้งข้อสังเกตไว้ 2 เงื่อนปมหลักคือ 1.สิ่งที่ต้องย้อนไปดูอันดับแรก ก็คือที่ดินที่เป็นที่ตั้งของโรงแรมหรูของนายกแพทองธารแต่เดิมมันเป็นที่ดินอะไร พอตรวจสอบย้อนหลังแล้ว จึงพบว่า ที่ดินตรงนี้เป็นที่ดินของ ‘นิคมสร้างตนเองลำตะคอง’ โดยนิคมสร้างตนเอง คือโครงการที่รัฐบาลสมัยก่อนจัดสรรพื้นที่ให้ประชาชนเข้าไปอยู่อาศัยและทำกิน สำหรับกรณีนิคมสร้างตนเองลำตะคองมีที่มาจากการที่รัฐบาลจะสร้างเขื่อนลำตะคอง จึงอพยพชาวบ้านมายังนิคมแห่งนี้ เมื่อปี 2513 โดยให้ที่ดินชาวบ้านทำกินกันคนละไม่เกิน 50 ไร่

2.แผนที่ของกรมพัฒนาที่ดิน ที่จัดทำโดย GISTDA หรือสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ(องค์การมหาชน)  ซึ่งเป็นแผนที่นี้จัดทำขึ้นมาเพื่อตรวจสอบการบุกรุกป่าบริเวณเขาใหญ่ในปี 2558 โดยกรอบสีแดงคือเขตพื้นที่นิคมสร้างตนเองลำตะคองคือที่ดินที่อยู่ในเขตนิคมสร้างตนเองลำตะคอง แต่ถ้าในพื้นที่นั้นมีพื้นที่สีขาวอยู่ด้วย คือพื้นที่ที่ถูกกันไว้เป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธาร หรือเรียกภาษาอังกฤษว่า Watershed Area ซึ่งมีมติ คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2514 ให้สงวนหวงห้ามไว้ ไม่ให้มีการเข้าไปทำประโยชน์และไม่ให้ออกเอกสารสิทธิใดๆ

อ่านข่าว: 'ธีรัจชัย' ขุดปม รร.หรู 'เทมส์ วัลลีย์' ติดเขาใหญ่ ซักฟอกนายกฯ

ต่อมา เมื่อ 25 มี.ค. 2568 กรมที่ดิน ชี้แจงว่า คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติได้มีมติให้นิคมสร้างตนเองลำตะคองนำพื้นที่ต้นน้ำลำธารไปจัดที่ดินให้กับราษฎรที่ครอบครองทำประโยชน์ได้มีการออก น.ค.3 ในพื้นที่ดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย และกันพื้นที่ไว้เพื่อเป็นพื้นที่ปลูกป่าทดแทนและอนุรักษ์ดินและน้ำ ประมาณ 33,000 ไร่

ดังนั้น เมื่อราษฎรที่เป็นสมาชิกนิคมได้รับ น.ค.3 จึงสามารถขอออกโฉนดที่ดินหรือ น.ส.3 ก. ได้โดยในกระบวนการออกโฉนดที่ดิน หรือ น.ส.3 ก. ผู้ปกครองนิคมจะต้องร่วมรังวัดและยืนยันความถูกต้องของ น.ค.3 ด้วย และโฉนดที่ดินที่เป็นที่ตั้งของโรงแรมเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ ได้ออกมาจาก น.ส.3 ก. ซึ่งออกจากหลักฐาน น.ค.3 เมื่อปี พ.ศ.2528 และขายเปลี่ยนมือมาหลายทอดจนเปลี่ยนมือมาถึงบริษัท พีดี เขาใหญ่ จำกัด ในปี พ.ศ.2560 ในพื้นที่นี้ไม่ได้มีการออกเฉพาะโรงแรมเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ จำกัด เท่านั้น แต่มีการออกโฉนดที่ดินและ น.ส.3 ก. จำนวนถึง 10,165 แปลง

อ่านข่าว: กรมที่ดินแจงปมซักฟอก 2 รร.หรูเขาใหญ่ ยันชอบด้วยกฎหมาย

ล่าสุดเมื่อ 25 มี.ค. 2568 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. แถลงถึงกรณีนี้ตอนหนึ่งจี้ให้กรมที่ดินต้องยืนยันว่า มติคณะกรรมการจัดรูปที่ดินแห่งชาติ ดังกล่าวใหญ่กว่ามติคณะรัฐมนตรีได้อย่างไร ศักดิ์และสิทธิ์ของกฎหมายเป็นอย่างไร และสิ่งสำคัญที่สุดอยากให้สื่อเข้าไปดูมติของคณะกรรมการจัดรูปที่ดินแห่งชาติ 

โดยเฉพาะกรมที่ดิน ซึ่งเป็นผู้ประกาศกฎ ในรายละเอียดบอกว่าให้สิทธิการครอบครอง แต่ไม่ได้ให้กรรมสิทธิ์ หมายความว่าถ้ายึดตามมติ คณะกรรมการจัดรูปที่ดินแห่งชาติที่ดินแปลงนี้ ไม่ได้ให้กรรมสิทธิ์แต่ให้สิทธิครอบครอง ก็ยังยืนยันว่าออกโฉนดไม่ได้ คำถามไม่ได้คือการออกโฉนดแล้วถูกกฎหมายแต่คำถามคือออกโฉนดมาได้อย่างไร ที่ตรงนั้นเป็นที่ต้นน้ำลำธาร ตรงนี้นายกรัฐมนตรียังไม่ตอบสังคม และชี้แจงในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้ประชาชนรับทราบ

อ่านข่าว: 'วิโรจน์' จี้ 'นายกฯ' ออกโฉนดเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่​ ไม่ชอบกฎหมาย

กรุงเทพธุรกิจ นำเสนอข้อมูลธุรกิจโรงแรมหรูที่เกี่ยวข้องกับ “นายกฯแพทองธาร” พบว่า โรงแรมเทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ แบ่งการดำเนินงานเป็น 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท พีดี เขาใหญ่ จำกัด และบริษัท เทมส์ วัลลี่ย์ เขาใหญ่ โฮเต็ล จำกัด นำส่งงบการเงินล่าสุดปี 2566 มีรายได้รวมทั้ง 2 บริษัท 121,153,222 บาท ได้แก่ 

1.ในส่วนที่ดินเป็นของ บริษัท พีดี เขาใหญ่ จำกัด

บริษัทแห่งนี้จดทะเบียนเมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2560 ทุนปัจจุบัน 207 ล้านบาท สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ 1010 อาคารชินวัตรทาวเวอร์ 3 ชั้นที่ 22 ถนนวิภาวดีรังสิต แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ การให้เช่าและดำเนินการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ มีกรรมการ 2 คนคือ นางสาวพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ (พี่สาวนายกฯ) นายอุดมศักดิ์ โง้วศิริ (กรรมการ และนักธุรกิจในเครือข่ายตระกูลชินวัตร)

ที่น่าสนใจ แพทองธาร ชินวัตร เพิ่งยุติจากการเป็นกรรมการเมื่อ 11 ม.ค. 2568 ที่ผ่านมา

นำส่งรายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุดเมื่อ 24 เม.ย. 2567 คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ถือหุ้นใหญ่สุด 99.9999% มีผู้ถือหุ้นรายย่อย (มิได้ระบุรายละเอียด) ถือ 0.0001% นางสาว พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ถือ 1 หุ้น นางสาว แพทองธาร ชินวัตร ถือ 1 หุ้น

นำส่งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2566 มีสินทรัพย์รวม 292,868,538 บาท มีหนี้สินรวม 84,417,131 บาท มีรายได้รวม 9,176,683 บาท รายจ่ายรวม 7,439,677 บาท ดอกเบี้ยจ่าย 8 แสนบาท เสียภาษีเงินได้ 197,401 บาท กำไรสุทธิ 739,604 บาท

2.ในส่วนโรงแรมเป็นของ บริษัท เทมส์ วัลลี่ย์ เขาใหญ่ โฮเต็ล จำกัด

ปัจจุบันบริษัทแห่งนี้ เป็น 1 ใน 12 ธุรกิจที่ “แพทองธาร” ทำสัญญาโอนหุ้นให้กับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เกียรตินาคินภัทร จำกัด เป็นผู้จัดการหุ้น ตาม พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนหรือหุ้นของรัฐมนตรี 2543 ทำสัญญาเมื่อวันที่ 19 พ.ย. 2567 โดยในส่วนของ เทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่ จำนวน 19,999,999 หุ้น

บริษัทดังกล่าวจดทะเบียนเมื่อ 18 ต.ค. 2556 ทุนปัจจุบัน 400 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 999 หมู่ที่ 4 ต.หมูสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา วัตถุประสงค์ การทำโรงแรม มีกรรมการ 2 คนคือ นางสาวพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ (พี่สาวนายกฯ) นายอุดมศักดิ์ โง้วศิริ (กรรมการ และนักธุรกิจในเครือข่ายตระกูลชินวัตร)

นำส่งรายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุดเมื่อ 19 พ.ย. 2567 นางสาว พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ถือหุ้น 50% บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน เกียรตินาคินภัทร จำกัด (ผู้จัดการหุ้นแทน น.ส.แพทองธาร) ถือหุ้น 50% ส่วนนายอุดมศักดิ์ โง้วศิริ ถือ 1 หุ้น

นำส่งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2566 สินทรัพย์รวม 246,991,338 บาท ในจำนวนนี้เป็นที่ดิน อาคารและอุปกรณ์ 234,975,534 บาท หนี้สินรวม 20,730,792 บาท รายได้รวม 111,976,539 บาท รายจ่ายรวม 124,934,801 บาท ขาดทุนสุทธิ 12,958,262 บาท

บริษัทแห่งนี้เคยเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ ระหว่างปีงบประมาณ 2567-2568 อย่างน้อย 4 โครงการ รวมวงเงิน 210,000 บาท

อย่างไรก็ดีบริษัททั้ง 2 แห่งดังกล่าว ยังมิได้ถูกร้องเรียน หรือถูกตรวจสอบจากหน่วยงานรัฐ เกี่ยวกับการถือครองที่ดิน และการสร้างโรงแรมหรูดังกล่าวแต่อย่างใด