'วิโรจน์' จี้กรมสรรพากร สอบ 'ตั๋ว PN' นายกฯ กังขาทำนิติกรรมอำพราง

'วิโรจน์' จี้อธิบดีกรมสรรพากร ส่งปม 'ตั๋ว PN' 4.4 พันล้าน 'นายกฯอิ๊งค์' กังขาทำนิติกรรมอำพราง ชง กก.วินิจฉัยฯตอบเป็นทางการ สวน 'ปิ่นสาย' ปักใจเชื่อ ไม่ดูเจตนา
เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2568 ที่กรมสรรพากร นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) เดินทางเข้ายื่นหนังสือ เพื่อขอให้วินิจฉัยการใช้ตั๋วสัญญาใช้เงิน (ตั๋ว PN) 4.4 พันล้านบาท ในการซื้อหุ้นของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และตรวจสอบพฤติการณ์ใดเข้าข่ายเป็นการทำนิติกรรมอำพราง หลบเลี่ยง หรือหลีกเลี่ยงภาษีที่ผิดกฎหมายหรือไม่ โดยมี น.ส.นลพรรณ ธงมรกต เลขานุการกรมกรมสรรพากร รับหนังสือ
นายวิโรจน์ กล่าวว่า ต้องมีการวินิจฉัยเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ และเป็นลายลักษณ์อักษร ว่าการกระทำในลักษณะอย่างนี้ เข้าข่ายเป็นการทำนิติกรรมอำพราง เจตนาที่แท้จริง คือการรับให้หุ้นของบุคคลในครอบครัว แต่ใช้ตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือใช้เครื่องมือทางการเงิน เพื่อทำนิติกรรมอำพราง เปลี่ยนเจตนาที่แท้จริง คือการรับให้ เป็นการซื้อขายเพียงแค่รูปแบบ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีการรับให้ 5% ใช่หรือไม่
ประเด็นนี้ถือว่าสำคัญมาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ไม่ใช่บุคคลธรรมดา แต่เป็นผู้นำประเทศ ที่ถืออำนาจรัฐ เป็นหัวหน้ารัฐบาล เป็นประมุขฝ่ายบริหาร และเป็นประธานคณะกรรมการนโยบาย การเงินการคลังโดยตำแหน่งด้วย ซึ่งถือว่ามีส่วนได้ส่วนเสียต่อสาธารณะ ในเรื่องของวินัยการเงินการคลังอย่างชัดเจน
ส่วนกรณีที่นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร ชี้แจงว่า สามารถทำได้นั้น นายวิโรจน์ กล่าวว่า เป็นการชี้แจงในลักษณะที่ปักใจเชื่อไปแล้ว ว่านี่คือการทำธุรกรรมซื้อขายกันจริงๆ แต่ไม่ได้ตั้งข้อสงสัยเลยว่า นี่เป็นนิติกรรมอำพราง
สังเกตหรือไม่ว่านายปิ่นสายชี้แจงในลักษณะที่ว่า ถ้าหากมีการชำระเงินตามตั๋ว PN ทางผู้ขายซึ่งเป็นบุคคลในครอบครัว หากมีกำไรจากการขายหุ้น ก็ต้องไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.90-91 แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่เป็นข้อสงสัยของสาธารณะ ประเด็นคือ นี่ไม่ใช่การซื้อขายกันจริงๆ ใช่หรือไม่ เป็นเพียงการทำธุรกรรมซื้อขายทิพย์ หรือซื้อขายปลอม เป็นการซื้อขายเพียงแค่รูปแบบ เพื่อบดบังเจตนาที่แท้จริง
นี่คือการรับให้หุ้นจากครอบครัว หรือได้หุ้นมาจากการให้ ของพี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ ถ้าหากเป็นการรับให้ ส่วนที่เกิน 20 ล้าน ก็ต้องเสียภาษี 5% ส่วนที่เกิน 10 ล้าน ก็ต้องเสียภาษีในอัตรา 5%
ดังนั้น การวินิจฉัยอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร และเป็นทางการ จึงมีความสำคัญอย่างมาก เพราะประชาชนสงสัยว่า หากทำตามนายกรัฐมนตรี เช่น เจ้าของกิจการที่กำลังจะโอนหุ้นให้ลูก มูลค่า 20 ล้าน เปลี่ยนใจไม่โอนหุ้นให้ลูกแล้ว แต่ให้ลูกออกตั๋ว PN หรือการทำสัญญาเงินกู้อื่นใด โดยไม่มีกำหนดชำระ และไม่มีอัตราดอกเบี้ย ในลักษณะนี้จะทำได้หรือไม่ กรมสรรพากรจะไม่เลือกปฏิบัติใช่หรือไม่ จะไม่มีการส่งเจ้าหน้าที่สรรพากรไปเรียกเก็บภาษีรับให้กับประชาชนรายนั้น ใช่หรือไม่
ส่วนการประเมินรายได้ของบุคคล กรมสรรพากรก็ไม่ได้เผยแพร่ออกมาเป็นรายบุคคลนั้น นายวิโรจน์ กล่าวว่า เรื่องนี้จำเป็นต้องชี้แจงต่อสาธารณะ เพราะทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกัน ถ้ากรณีนี้ น.ส.แพรทองธารทำได้ ประชาชนทั่วไปก็ต้องทำได้ ไม่ได้หมายถึงเรื่องการโอนหุ้นอย่างเดียวยังรวมสินทรัพย์สินอื่นใด ที่มีการจดทะเบียน เช่น ที่ดิน
สำหรับวิธีที่จะพิสูจน์ว่า ไม่ได้มีการซื้อขายกันจริงๆ ต้องดูพฤติการณ์ ดูเจตนา ผมคิดว่าคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร สามารถตรวจสอบและสืบสวนสอบสวนในกรณีนี้ได้ วันนี้ผมจึงทำหนังสือขอให้อธิบดีกรมสรรพากรดำเนินการตามประมวลรัษฎากร คือไปขอความเห็น เพื่อให้คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรได้วินิจฉัย กรณีน.ส.แพทองธาร ออกมาอย่างเป็นทางการและเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อจะได้เป็นแนวปฏิบัติของประชาชนทั่วไป
"เรื่องนี้สำคัญมาก ตอนนี้ทุกคนรู้ว่ากรมสรรพากร และหน่วยงานจัดเก็บภาษี จัดเก็บรายได้ของแผ่นดิน มีการเร่งรัดการเก็บภาษีอย่างรัดกุมมากๆ พ่อค้า แม่ขาย ที่ขายก๋วยเตี๋ยว ขายข้าวแกง ก็มีเจ้าหน้าที่สรรพากรนับจานนับชาม เพื่อขอขึ้นภาษีเพิ่มเติม อินฟลูเอนเซอร์ ยูทูปเบอร์ ที่มีรายได้จาก การรีวิวสินค้า ก็ถูกเร่งรัดการจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือในกรณีของพ่อค้าแม่ขายทั่วไป ที่เคยเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ถ้ารายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ก็จะต้องถูกกรมสรรพากรเร่งรัดให้จ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม" นายวิโรจน์ กล่าว
เมื่อถามว่า ต้องตรวจสอบการทำหน้าที่ของอธิบดีกรมสรรพากรด้วยหรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า การให้ความเห็นของอธิบดี เบื้องต้นอาจจะปักใจเชื่อโดยส่วนตัว ตนก็มาชวนให้ฉุกคิด และตั้งคำถามว่า ทำไมเรื่องนี้ถึงเป็นเรื่องสำคัญ หากน.ส.แพทองธาร ทำได้ถูกต้องตามกฎหมาย ประชาชนก็ทำบ้าง
การมีช่องว่างทางกฎหมาย มีหลักคิด 2 เรื่องคือ 1. คนที่ทำ ถ้าทำถูกกฎหมาย ต้องพร้อมเปิดเผย เพราะมั่นใจว่าสุจริต ถูกกฎหมาย และเป็นธรรม ส่วนคนที่ไม่กล้าแสดงตัว มีพฤติกรรมหลบๆ ซ่อนๆ เพราะต้องระแวง แต่ถ้าผิดกฎหมายก็สู้ได้ เพราะตีความตามตัวอักษร 2.อะไรที่เป็นผลประโยชน์ต่อสาธารณะ ยิ่งทำมากยิ่งดี เช่น การซื้อประกันที่มีการบอกต่อๆ กัน
"หากน.ส.แพทองธาร ทำถูกต้องแล้ว ประชาชนทุกคนทำตาม สาธารณะได้ประโยชน์อะไร สุดท้ายเป็นผลกระทบร้ายแรงต่อการจัดเก็บรายได้ของแผ่นดิน" นายวิโรจน์ กล่าว
ส่วนการชี้แจงบัญชีทรัพย์สินหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) 2,900 ล้านบาทของน.ส.แพทองธาร นั้น นายวิโรจน์ กล่าวว่า คนละเรื่องกัน การยื่น ป.ป.ช.ไม่ได้หมายความว่า การชำระภาษีถูกต้องครบถ้วน วันนี้ตนทำใจเป็นกลาง ต้องการฟังคำวินิจฉัยจากคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร ถ้านายกรัฐมนตรีที่เป็นประชาชนคนหนึ่งทำได้ แต่มีความเสียหายในการจัดเก็บรายได้ของแผ่นดิน นั่นหมายความว่า ต่อแต่นี้เป็นต้นไป ภาษีการรับให้จะไม่สามารถจัดเก็บได้เลย
"ส่วนที่ว่า ทำไมจะต้องใช้ตั๋ว PN ทำไม ไม่ใช้เป็นสัญญาณเงินกู้ เพราะมีเรื่องของค่าอากรด้วย ถ้าสัญญาเงินกู้ทุก 2,000 บาทเสีย 1 บาท แต่จะมีเพดานที่ 10,000 บาท แต่การเป็นหนี้ระดับร้อยล้านพันล้าน แต่มีเพดานค่าอากรอยู่ฉบับละ 10,000 บาท 9 ฉบับรวม 90,000 บาท แต่ถ้าใช้ตั๋ว PN ค่าอากรฉบับละ 3 บาท ดังนั้นการเลือกใช้ตั๋ว PN เป็นการประหยัดค่าอากร จาก 90,000 ก็ไม่ต้องเสีย เสียแค่ฉบับละ 3 บาท รวม 27 บาทเท่านั้นเอง ได้จากสัญญา 9 ฉบับ แต่ถามว่าผิดกฎหมายหรือไม่ ก็ไม่ผิด แต่สะท้อนว่ามีการบริหารภาษีได้อย่างดุดัน และดุดันแบบไม่เกรงใจใคร และในกรณีของผู้ถือหุ้นที่ขายกันในราคาทุน ไม่มีส่วนเกิน หรือกำไร ก็ไม่ต้องชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา"นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ ยังกล่าวด้วยว่า การที่มุ่งเป้าไปที่ น.ส.แพทองธาร เพราะไม่ใช่บุคคลทั่วไป แต่เป็นนายกรัฐมนตรี และมีอำนาจรัฐ สำหรับระยะเวลา ตนมองว่าควรให้เวลาในการทำงาน
ท้้งนี้ก็จะใช้กลไกของกรรมาธิการพัฒนาการเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ติดตามความคืบหน้า และอาจจะต้องเชิญอธิบดีกรมสรรพากร ไปชี้แจงที่ประชุม และเชิญผู้แทนจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน เพราะกรณีนี้ หากเป็นไปในแนวทางปฏิบัติของอธิบดีกรมสรรพากร ภาษีการรับให้จะไม่สามารถจัดเก็บได้เลย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้อย่างแน่นอน
สุดท้ายจริงๆ อยากจะบอกว่า หลายคนตีความเจตนาคิดว่าตั๋ว PN เป็นเครื่องมือทางการเงิน ในการให้เครดิตระยะสั้น ไม่ได้ผิดอะไร แต่ต้องดูเจตนาที่แท้จริง ว่าเป็นการซื้อขายจริงหรือไม่ หรือสร้างการซื้อขายผิดรูปแบบ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีการรับให้
"การจงใจทำนิติกรรมอำพราง สร้างรูปแบบการซื้อขายขึ้นมา ทั้งที่เจตนาที่แท้จริงคือการรับให้หุ้น ถ้าเจตนาเป็นนิติกรรมอำพราง ยืนยันแล้วผิด ดังนั้นคนที่จะสืบสวนเรื่องนี้ และมีคำวินิจฉัยออกมาว่า เงื่อนไของค์ประกอบ และวิธีการอะไร ที่จะเข้าข่ายการทำผิดนิติกรรมอำพราง สร้างการซื้อขายที่ผิดรูปแบบ คือคณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากร คนสองคน คนหนึ่งซื้อขายกันจริงๆกับคนหนึ่งจงใจ ผลสัมฤทธิ์ก็อาจจะเหมือนกัน แล้วต้องย้อนไปเรื่องการยักย้ายถ่ายเทหุ้นของ น.ส.แพทองธาร กับคนอื่นๆ ด้วย" นายวิโรจน์ กล่าวและ
ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่ากำไรที่ต้องจ่ายนั้น หักไปจ่ายในอีก 20 ปีก็สามารถทำได้ เพียงแต่ต้องมองว่า ในอีก 20 ปีข้างหน้าค่าของเงินเฟ้อ อาจทำให้มูลค่าของกำไรลดลง