เตือนภัยผิดพลาด วงจรอุบาทว์ประเทศไทย

“อาฟเตอร์ช็อก” เหตุแผ่นดินไหวในบ้านเรา ไม่ใช่แรงสั่นสะเทือนที่ตามมาอีกหลายสิบครั้ง แต่กลับเป็นเรื่องของปัญหาความผิดพลาด ล้มเหลว และส่อไม่โปร่งใส
KEY
POINTS
- บริษัทที่ชนะประมูล คือ กิจการร่วมค้าระหว่างบริษัทไทย (อิตาเลียนไทย หรือ ไอทีดี) กับ บริษัททุนจีน แต่ตัวบริษัทจริงๆ ทั้งเจ้าของเงิน อำนาจการบริหาร และการทำธุรกิจ ตลอดจนประสิทธิภาพประสิทธิผลของโครงการที่รับทำ ล้วนอยู่ในกำมือ “
“อาฟเตอร์ช็อก” เหตุแผ่นดินไหวในบ้านเรา ไม่ใช่แรงสั่นสะเทือนที่ตามมาอีกหลายสิบครั้งจากรอยเลื่อนสะกายในเมียนมา แต่กลับเป็นเรื่องของปัญหาความผิดพลาด ล้มเหลว และส่อไม่โปร่งใส ที่ปรากฏขึ้นจากความเสียหาย และความสูญเสียจากเหตุแผ่นดินไหว ซึ่งมี 2 เรื่องด้วยกัน คือ
1.อาคารสำนักงานของ สตง.แห่งใหม่ถล่ม
มีประเด็นน่าสนใจคือ บริษัทที่ชนะประมูล คือ กิจการร่วมค้าระหว่างบริษัทไทย (อิตาเลียนไทย หรือ ไอทีดี) กับ บริษัททุนจีน ซึ่งโครงสร้างผู้ถือหุ้น ดูจะทะแม่งๆ ว่าใช้นอมินีคนไทยถือหุ้นให้ครบ ตามที่กฎหมายกำหนด แต่ตัวบริษัทจริงๆ ทั้งเจ้าของเงิน อำนาจการบริหาร และการทำธุรกิจ ตลอดจนประสิทธิภาพประสิทธิผลของโครงการที่รับทำ ล้วนอยู่ในกำมือ “ทุนจีน” ซึ่งเป็นเจ้าของตัวจริงทั้งสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้น โครงการนี้ที่ สตง.อ้างว่า ผ่านการทำ “ข้อตกลงคุณธรรม” มีองค์กรภาคประชาสังคมร่วมตรวจสอบความโปร่งใสตั้งแต่ต้นนั้น แต่แท้จริงแล้ว “ไม่เป็นความจริงเลย” เพราะน่าจะมี “ไอ้โม่ง” สั่ง หรือล้วงลูกโครงการนี้ จนไม่ต้องเข้าข้อตกลงคุณธรรม ทั้งๆ ที่อยู่ในเงื่อนไขต้องเข้าร่วม เนื่องจากโครงการมูลค่าเกิน 1,000 ล้านบาท
2.เป็นความล้มเหลวของระบบการแจ้งเตือนภัยพิบัติของประเทศไทย ที่น่าตกใจคือ จนป่านนี้ (ขณะเขียนบทความ) ข้ามมาเกิน 48 ชั่วโมงแล้ว เพิ่งมีหลายคนได้รับแจ้งเตือนแผ่นดินไหวข้อความแรกจาก ปภ. จนกลายเป็นสร้างความตื่นตกใจ นึกว่ามีแผ่นดินไหวใหม่อีกรอบ
ปัญหาเรื่องระบบเตือนภัย และแจ้งเตือนภัยพิบัติ ซึ่ง “ล้มเหลวสิ้นเชิง” นี้ เชื่อหรือไม่ว่าได้มีการอนุมัติงบประมาณไปแล้วกว่า 1,600 ล้านบาท ทั้งจากกระทรวงดีอี และ กสทช. แต่ระบบแจ้งเตือนเหมือนไม่มี กลายเป็นตลกร้ายอีกเรื่องหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งขำกันไม่ออก
ยิ่งไปกว่านั้น ปภ. หรือ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เจ้าภาพของงาน ทั้งการกำหนดข้อความ และอนุมัติการแจ้งเตือนภัย ซึ่งล้มเหลวไม่เป็นท่า กลับไม่ได้อธิบายหรือชี้แจงใดๆ แม้แต่คำขอโทษสักคำยังไม่มี ทั้งๆ ที่ตัวอธิบดีอยู่ร่วมการแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ
สรุปแล้ว 2 ปัญหาที่เกิดขึ้นจากภัยพิบัติแผ่นดินไหว ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ได้ใหญ่โตร้ายแรงอะไรนัก แต่กลับสร้างความเสียหายมากกว่าที่ควรจะเป็น ล้วนเกิดขึ้นในความรับผิดชอบของระบบราชการ ซึ่งมีฝ่ายการเมืองคุมนโยบายอีกที
ระบบราชการบ้านเรามีสิทธิพิเศษมากมาย และมีความมั่นคงทางอาชีพอย่างไม่น่าเชื่อ มีเงินเดือนจ่ายครบ-จบจริงทุกเดือน มีบำเหน็จก้อนโตในวันเกษียณ แถมเลือกเกษียณก่อนวาระก็ได้ด้วย ได้ทั้งยศ ทั้งซี ทั้งเงิน หรือจะเลือกรับบำนาญ ก็จ่ายกันถึงวันเข้าโลง แถมมี “บำเหน็จตกทอด” ส่งต่อให้ลูกหลานอีกต่อหนึ่งด้วย
ระบบสวัสดิการแบบ “ฟูล ออปชั่น” เช่นนี้ ทำกันมานานชั่วนาตาปี แม้ปัจจุบันจะมีความพยายามปฏิรูปให้เป็น “ระบบร่วมจ่าย” คล้ายๆ ประกันสังคม แต่รายละเอียดของสิทธิประโยชน์ที่ได้รับก็ยังดีกว่าลูกจ้างเอกชนมากมายนัก
ย้อนกลับไปช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 กิจการต่างๆ ล้มหายตายจาก คนทำงานต้องตกงาน ไม่มีรายได้ ไม่มีเงิน ต้องหาอาหารจาก “ตู้ปันสุข” แต่ข้าราชการไทยไม่เคยแม้แต่จะถูกหักเงินเดือนสักบาทหนึ่งในยามวิกฤต น่าจะเป็นอาชีพเดียวในโลกที่ไม่ได้รับผลกระทบด้านรายได้จากโรคอุบัติใหม่ที่ก่อความเสียหายให้กับทุกประเทศ
ผมไม่ได้ติดใจ ข้องใจ หรือริษยาพี่น้องข้าราชการ เพราะสมาชิกในครอบครัวผมทุกคนก็เป็นข้าราชการ แต่ในฐานะประชาชนคนไทยที่ไม่ได้มียศ ไม่ได้มีตำแหน่ง ไม่ได้แต่งเครื่องแบบ ก็อยากขอให้ท่านๆ ทั้งหลาย ทั้งข้าราชการ และนักการเมืองผู้ทรงเกียรติ ช่วยทำงานให้สมกับภาษีอากรและความมั่นคงมั่งคั่งที่ท่านได้รับจากหยาดเหงื่อแรงงานของประชาชนคนไทยด้วยเถิด
ไม่ใช่ทำงานเช้าชามเย็นชาม เดินวนเหมือนอยู่ในเขาวงกต สุดท้ายเมื่อเกิดวิกฤต ประชาชนก็รับกรรมซ้ำอีก และเมื่อวิกฤตพ้นผ่าน ก็แหกหูแหกตาตื่นขึ้นมาเหมือนไฟไหม้ฟาง วัวหายล้อมคอก ลงท้ายด้วยการตั้งงบประมาณเอาไปใช้กันเปรมอีก ซึ่งที่มาของงบฯ ก็รีดเลือดเอาจากประชาชนคนที่เจอวิกฤตนั่นแหละ
กลายเป็นวงจรซ้ำซาก เหมือนลอยคออยู่ในปลัก ไม่ขยับไปไหนเสียที
วันก่อนน้องผู้สื่อข่าวสายทหารของเนชั่นทีวี ได้มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตนายทหารคนสำคัญ และอดีตรัฐมนตรีกลาโหม ในประเด็นนโยบาย 66/23 ที่ออกมาเพื่อต่อสู้เอาชนะผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในอดีต โดย พล.อ.ธรรมรักษ์ หรือ “บิ๊กแอ๊ด” เป็นมือเขียน มือยกร่างคำสั่งนี้ด้วยตั้วเอง
วันนั้นผมมีโอกาสได้ไปพูดคุยกับ “บิ๊กแอ๊ด” ด้วย ซึ่งท่านก็ให้ความกรุณา บอกเล่าประสบการณ์และเรื่องราวในอดีตต่างๆ อย่างละเอียด
จากเหตุการณ์สัมภาษณ์ พล.อ.ธรรมรักษ์ ทำให้ผมฉุกคิดได้ว่า จริงๆ แล้วปัญหาคอมมิวนิสต์น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติปัญหาสุดท้ายที่ประเทศไทยแก้ได้สำเร็จ ซึ่งต้องย้อนกลับไปถึง 43-45 ปีที่แล้ว
ตอนนั้นผมอายุประมาณ 10 ขวบ นับจากนั้นผมก็ใช้ชีวิตต่อเนื่องมา เป็นช่วงที่จำความได้ ทั้งเล่าเรียนศึกษา และทำงานทำการ เมื่อมานั่งนึกย้อนดูก็จะพบความจริงว่า ประเทศไทยเราไม่เคยแก้ปัญหาใหญ่ๆ ซึ่งเป็น “วาระแห่งชาติ” ได้สำเร็จอีกเลย
เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ตัวผมเท่านั้นที่คิด แต่ผู้ทรงคุณวุฒิอีกหลายคนก็เคยบอกเอาไว้ เพราะผมเคยอ่านบทความของ อาจารย์หมอประเวศ วะสี เมื่อหลายปีก่อน คุณหมอก็เคยเปรยไว้แนวๆ นี้เหมือนกัน
ลองไล่ดูปัญหาใหญ่ๆ ปัญหาสำคัญในบ้านเมืองเราทุกวันนี้ แล้วคุณผู้อ่านจะเห็นตรงกันกับผม...
ปัญหาภาคใต้ - ผ่าน 21 ปีไปแล้ว ขึ้นปีที่ 22 ยังมีเหตุยิง เผา วางระเบิดแทบทุกวัน จากเคยปรามาสคู่ต่อสู้ว่าเป็น “โจรกระจอก” วันนี้ผู้รู้หลายคนออกมาบอกแล้วว่า ไทยเราเสี่ยงเสียดินแดน อย่างน้อยก็เสียอำนาจการปกครองบางส่วนหรือส่วนใหญ่ในพื้นที่ปลายด้ามขวานไปค่อนข้างแน่นอน (แต่กลุ่มคนที่ร่ำรวยบนเสียงระเบิดและคราบน้ำตาก็มีไม่น้อยเหมือนกัน)
ปัญหายาเสพติด - ยิ่งแก้ยิ่งระบาดหนักขึ้น คนติดยาเยอะขึ้น คุกล้น ศูนย์บำบัดเต็มทุกแห่ง ไอเดียใหม่ๆ ที่จะใช้แก้ไขปัญหามีแต่ลมปาก ไม่เคยถูกแปรเป็นการปฏิบัติ แต่ทุกรัฐบาลบินไปดูงานกันมาแล้วทั่วโลก โดยเฉพาะ “โปรตุเกสโมเดล”
ปัญหาน้ำท่วม - วิกฤตเป็นปกติทุกปี และจะมี 3-4 ปีครั้งที่เป็นวิกฤตใหญ่ให้ได้ตื่นเต้น ปีที่แล้วหนักเป็นพิเศษเพราะไม่ใช่แค่น้ำเท่านั้นที่ท่วม แต่กลายเป็นโคลนถล่ม แผ่นดินทรุด ตอนเกิดเรื่องก็เป็นข่าวดัง แต่ตอนนี้ไม่มีใครพูดถึงแล้ว รอทะเลโคลนหวนมารอบใหม่ สุดท้ายก็ชินเหมือนน้ำท่วมใหญ่ทุกปี
ปัญหาหนี้ เศรษฐกิจ - จากวิกฤตต้มยำกุ้ง สถาบันการเงินล้มเจ๊งกันทั้งประเทศ ผ่านมาเกือบ 30 ปี วันนี้หนี้ครัวเรือนท่วม คนไทยเกือบทุกคนเป็นหนี้ ครอบครัวไทยใกล้ล่มสลาย จีดีพีรั้งท้ายอาเซียน ตลาดหุ้นซบเซาที่สุดในโลก
ปัญหารถติด ขนส่งสาธารณะราคาแพง - ผ่านมากี่ชาติก็แก้ไม่ได้ รถติดลามจากกรุงเทพฯ ไปตามเมืองใหญ่ ทั้งเชียงใหม่ หาดใหญ่ ขอนแก่น รถเมล์วันนี้เป็นแหล่งปล่อยควันดำ ต้นตอหนึ่งของ PM2.5 บริการแย่ แต่ราคาไม่ถูก ครั้นไปขึ้นรถปรับอากาศ รถพลังงานไฟฟ้า ก็ราคาน้องๆ รถไฟลอยฟ้า แท็กซี่ยังคงปฏิเสธผู้โดยสาร รถไฟฟ้าสารพัดระบบเดินทางต่อกันไม่ได้ เปลี่ยนสายต้องจ่ายเงินเพิ่ม
ปัญหาการศึกษา - คนไทยลืมไปแล้วว่ามีกระทรวงศึกษาฯ
ปัญหากองทัพ - ประชาชนมีหวังทุกครั้ง เมื่อฟังฝ่ายค้านประกาศจะปฏิรูปกองทัพ แต่พอพรรคการเมืองฝ่ายค้านมาเป็นรัฐบาล ก็กลายร่างไปเป็นลูกน้องกองทัพซะอย่างงั้น นอกจากจะไม่กล้าแตะ ไม่กล้าปฏิรูปแล้ว ยังคอยปกป้อง แถมสำรอกใส่ประชาชนอีกต่างหาก
ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน - แก้ไขกันแบบงานรูทีนรายวัน องค์กรตรวจสอบ องค์กรอิสระมีเต็มประเทศ มีสาขาครบทุกจังหวัด ทุกภาคของประเทศ แต่คนโกงก็ยังโกงได้สบาย ตึกสร้างใหม่ขององค์กรตรวจสอบยังถล่มเสียเอง แบบนี้ก็ตัวใครตัวมันกันล่ะครับ
จริงๆ ยังมีอีกหลายปัญหา ผมจะนำบทความนี้ไปโพสต์ในช่องทางโซเชียลมีเดีย เผื่อคุณผู้อ่านได้ช่วยเพิ่มเติม หรือกระตุกเตือนปัญหาอื่นๆ สะท้อนไปยังผู้รับผิดชอบ
ที่แย่ที่สุดคือ คนรับกรรมคือพวกเราๆ ท่านๆ ที่นั่งบ่นกันอยู่นี้ แต่ทุกปัญหามีคนได้ดี ได้ยศ ได้ตำแหน่ง และร่ำรวยบนคราบน้ำตาคนไทย และซากปรักหักพังของบ้านเมือง